คณะกรรมการการเลือกตั้งของอิหร่าน แถลงในวันเสาร์ว่า จากผลการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งทั้งหมดกว่า 24.5 ล้านใบ ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ พบว่า มาซูด เปเซชเคียน ผู้สมัครหัวปฏิรูปได้คะแนนเสียงมากที่สุดกว่า 10.4 ล้านเสียง ตามด้วยซาอีด จาลิลิ ผู้สมัครหัวอนุรักษ์นิยม ที่ได้เกือบ 9.5 ล้านเสียง ส่วนผู้สมัครอีก 2 คน ได้เกือบ 3.4 ล้านเสียง และเกือบ 206,400 เสียง ตามลำดับ
การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเพียง 40% จากกว่า 61 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2564 ที่มีผู้ใช้สิทธิกว่า 48% และต่ำที่สุดนับตั้งแต่การสถาปนาประเทศในปี 2522 นอกจากนี้ มีบัตรเสียมากถึงราว 1 ล้านใบ
และเนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดจากทั้ง 4 คน ได้คะแนนเสียงเกิน 50% ทำให้เปเซชเคียน และจาลิลี ที่ได้คะแนนสูงสุดสองอันดับแรก ต้องแข่งขันกันอีกครั้งในการเลือกตั้งรอบสองในวันที่ 5 กรกฎาคม และจะเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีต้องจัดรอบสอง
เปเซชเคียน อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข เป็นผู้สมัครสายปฏิรูปเพียงคนเดียวจากจำนวนผู้สมัคร 6 คน ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากสภาพิทักษ์ Guardian Council ให้ลงสมัครเลือกตั้งได้ หลังหลายสิบคนถูกตัดสิทธิ แต่ผู้สมัครหัวอนุรักษ์ 2 คน ถอนตัวเมื่อวันพฤหัสบดี เพื่อไม่แย่งคะแนนเสียงกันเอง
ส่วนจาลิลิเคยเป็นผู้แทนเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ และปัจจุบันเป็นผู้แทนของอยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ในสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุด
จำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งต่ำเป็นประวัติการณ์เป็นเพราะความเบื่อหน่ายของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้บอยคอตต์การเลือกตั้ง
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก วัย 18 ปี สองคน บอกว่า เดิมไม่อยากใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่เปลี่ยนใจลงคะแนนให้เปเซชเคียน เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเชื่อว่า เปเซชเคียนจะดำเนินนโยบายต่างประเทศได้ราบรื่นกว่า และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ รวมทั้งบอกด้วยว่า คำขวัญหาเสียงของเขาที่ว่า “เอื้อเฟื้อกับมิตร และอดกลั้นกับศัตรู” สะท้อนว่า เขาจะดำเนินนโยบายได้อย่างสมดุล และหวังว่า ผู้สมัครสายกลางจะชนะรอบแรก และเชื่อว่า เมื่อมีรอบสอง ก็จะยิ่งทำให้คนอยากออกไปลงคะแนนให้เขามากขึ้น
การเลือกตั้งจัดขึ้นก่อนกำหนดหลังประธานาธิบดีเอบราฮิม ไรซี ถึงแก่อสัญกรรมจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อเดือนที่แล้ว และจัดขึ้นในช่วงที่ประเทศมีอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงเกือบ 40% และภูมิภาคตะวันออกกกลางกำลังตึงเครียดจากสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านหนุนหลัง ได้แก่ ฮามาสในฉนวนกาซา และเฮซบอลลาห์ในเลบานอน รวมถึงแรงกดดันจากชาติตะวันตกที่เพิ่มขึ้นต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน
แม้ผลเลือกตั้งไม่น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในอิหร่าน แต่อาจมีอิทธิพลต่อการสรรหาผู้สืบทอดตำแหน่งแทน อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด วัย 85 ปี ในอนาคต