ประธานานาธิบดีโจ ไบเดน ลงพื้นที่หาเสียงที่เมืองราลี รัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่เป็นหนึ่งในสนามเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันศุกร์ทันที หลังเพิ่งผ่านพ้นการดีเบทกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจียเมื่อคืนวันพฤหัสบดี ที่ชาวอเมริกันล้วนลงความเห็นว่า ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะ
ไบเดน วัย 81 ปี ยอมรับว่า “ผมไม่ใช่คนหนุ่ม….เดินไม่คล่องเหมือนเคย พูดไม่ฉะฉานเหมือนเคย และดีเบทได้ไม่ดีเหมือนเคย” แต่เขายืนยันว่า เขารู้วิธีพูดความจริง แยกผิดถูกได้ และรู้ว่าต้องทำหน้าที่ประธานาธิบดีอย่างไร รวมทั้งยืนยันว่า เขายังตั้งใจชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ และบอกด้วยว่า เมื่อล้มก็ลุกได้ หลังจากนั้นมีเสียงผู้สนับสนุนตะโกนตอบว่า “อีก 4 ปี”
เขาบอกด้วยว่า เขาจะไม่ลงสมัครเลือกตั้งอีกสมัย หากเขาไม่เชื่อเต็มหัวใจและจิตวิญญาณว่า เขาสามารถทำหน้าที่ได้ พร้อมทั้งบอกว่า เดิมพันครั้งนี้สูงเกินไป และทรัมป์เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงของชาติ
การดีเบทรอบแรกที่จัดโดยซีเอ็นเอ็นมีผู้ชม 47.9 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าการดีเบทในปี 2563 อย่างมาก และดีเบทรอบสองจะจัดขึ้นในวันที่ 10 กันยายน
ไบเดนพูดตัวเลขผิด หยุดชะงักหลายครั้งเพื่อนึกคำพูด และพูดจาไม่ปะติดปะต่อจนจบประโยคไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงแรกของการดีเบทที่ยาว 90 นาที จนทำให้แม้แต่สมาชิกในพรรคเดโมแครตบางคนผิดหวังและแสดงความกังวล ขณะที่เริ่มมีเสียงวิจารณ์และบทวิเคราะห์ว่า เดโมแครตควรเปลี่ยนตัวผู้สมัครประธานาธิบดีหรือไม่
แต่ยังไม่มีสมาชิกระดับอาวุโสในพรรคที่ออกมาบอกต่อสาธารณชนว่า ไบเดนควรถอนตัว โดยส่วนใหญ่ยังคงย้ำสนับสนุนไบเดน รวมถึง เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีความโดดเด่นและถูกจับตาว่าอาจเป็นผู้สมัครแทนที่ไบเดนได้ นิวซัม บอกหลังจบการดีเบททันทีว่า “ผมจะไม่หันหลังให้ประธานาธิบดีไบเดน”
ขณะที่บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ เรียกร้องให้ไบเดนถอนตัวจากการแข่งขัน โดยระบุว่า เขาไม่สามารถตอบโต้การยั่วยุของทรัมป์ หรือโต้แย้งในสิ่งที่ทรัมป์พูดโกหกได้ รวมทั้งไม่สามารพูดให้จบประโยคได้ และเพื่อรับใช้ประชาชนครั้งใหญ่ที่สุด ไบเดนสามารถทำได้ด้วยการประกาศจะไม่ลงสมัครเลือกตั้งอีกสมัย
นิวยอร์กไทม์ยังเตือนถึงพรรคเดโมแครตว่า ไม่ควรสร้างความเสี่ยงแก่เสถียรภาพและความมั่นคงของชาติ ด้วยการบังคับให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องเลือกระหว่างข้อบกพร่องของทรัมป์และไบเดน
นอกจากนี้นักการทูตต่างชาติบางคนแสดงความตกใจและกังวลกับผลงานการดีเบทของไบเดน และวิตกว่า ทิศทางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนไปหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง