svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

ดูเด็กกว่าอายุจริงไม่พึ่งมีดหมอทำได้อย่างไร? เวชศาสตร์ชะลอวัย มีคำตอบ!

เปิด 7 ต้นเหตุความชราตามหลักวิทยาศาสตร์ และสุดยอด Anti-Aging Vitamins 7 สารอาหารกินชะลอวัยที่ร่างกายต้องการ ไม่อยากแก่กว่าวัยต้องอ่าน!!

“เวชศาสตร์ชะลอวัย” (Anti-Aging Medicine) เป็นเรื่องที่หลายคนยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน คนส่วนใหญ่จะรู้จักกับคำว่า “ชะลอวัย” ในความหมายของการดูแลผิวพรรณ เพื่อความงาม โดยการใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยให้มีผิวที่ดี ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ และเข้าใจ “เวชศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพ” (Rehabilitation medicine) ที่จะเน้นในการซ่อมแซม ฟื้นฟูสุขภาพที่เสื่อมไปแล้วหรือว่ามีโรคที่เกิดขึ้นแล้ว

ดูเด็กกว่าอายุจริงไม่พึ่งมีดหมอทำได้อย่างไร? เวชศาสตร์ชะลอวัย มีคำตอบ!

เวชศาสตร์ชะลอวัย ในความเป็นจริง

ความหมายที่ถูกต้องอย่างแท้จริงของ “เวชศาสตร์ชะลอวัย” หมายถึง ศาสตร์ทางการแพทย์แขนงหนึ่งที่เน้นในการป้องกันก่อนการเกิดโรค วิเคราะห์ดูแลลงลึกในรายละเอียดของร่างกายเพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถป้องกัน ฟื้นฟูความเสื่อมของสุขภาพ ปรับสมดุลให้กับร่างกายเพื่อให้กลไกต่างๆ ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการใส่ใจในทุกองค์ประกอบของชีวิต โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อปรับเข้าสู่ภาวะสมดุล ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ก็คือเพพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ยืนยาวแบบสุขภาพดี หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดอายุขัย

7 สาเหตุหลักของความชราตามหลักวิทยาศาสตร์

ในเวชศาสตร์ชะลอวัย เชื่อว่าความชราไม่ได้เกิดจากอายุหรือเวลาที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มีต้นเหตุและปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนเราก้าวสู่ความชราไม่เท่ากัน ซึ่งสาเหตุหลักของความชราตามหลักวิทยาศาสตร์ มี 7 ประการ ได้แก่

1 อนุมูลอิสระ ปกติแล้วมนุษย์เราหายใจเข้าไปเพื่อเอาออกซิเจนไปเผาผลาญอาหารที่เรารับประทานเข้าไปให้เป็นพลังงาน นอกจากพลังงานแล้ว ออกซิเจนที่เหลือจะเป็นอิเล็กตรอนอิสระทำปฏิกิริยากับเซลล์อื่นๆ ทำให้เกิดความเสื่อมสภาพหยุดทำงานตายหรือเป็นมะเร็งได้

2 ภาวะพร่องฮอร์โมน เมื่อคนเราอายุมากขึ้นฮอร์โมนต่างๆ ที่ร่างกายเคยสร้างก็จะสร้างน้อยลงเรื่อยๆ เช่น ผู้หญิงพอเข้าวัยทอง ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ผู้หญิงก็จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจและกระดูกพรุนมากขึ้น

3 การอักเสบเรื้อรัง ก็ทำให้ร่างกายเสื่อมได้ คือในคนที่อ้วนมีไขมันสะสมเยอะ เซลล์ไขมันจะปล่อยสารอักเสบออกมาทำให้หลอดเลือดอักเสบ พอหลอดเลือดอักเสบก็จะมีไขมันไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและก็เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจหลอดเลือดและสมองตีบได้

4 ภาวะน้ำตาลสะสม เกิดจากการที่เรารับประทานน้ำตาล หรืออาหารจำพวกแป้งมากๆ พอถูกย่อยกลายเป็นน้ำตาลไปแล้ว น้ำตาลจะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนในร่างกาย ทำให้โปรตีนหรือเซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ เหมือนเอาเนื้อไปแช่ในน้ำหวานนานๆ เนื้อก็แปรสภาพก็ทำให้เซลล์เสื่อม

5 การสะสมของสารพิษ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เราต้องสัมผัส เช่น ควันบุหรี่ รังสี สารเคมี โลหะหนัก ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป พวกสารพิษต่างๆ จะไปสะสมที่เซลล์ ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ

6 ภาวะเป็นกรด ในทุกๆ วันร่างกายจะมีการสร้างกรด ส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่เรารับประทาน (โปรตีนสูง) และอีกส่วนหนึ่งมาจากการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ร่างกายจะปรับสมดุลของกรดเหล่านี้ให้กลับสู่ปกติโดย ตับจะทำหน้าที่เปลี่ยนกรดบางชนิดให้เป็นด่าง ปอดจะช่วยขับกรดออกจากร่างกายในรูปของคาร์บอนไดออกไซด์และไตจะขับกรดออกทางปัสสาวะในรูปของแอมโมเนีย ดังนั้นภาวะเป็นกรดจะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ทำงานหนักขึ้นและเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ

7 ภาวะเสื่อมสภาพของเซลล์ต้นกำเนิด หรือที่เรียกว่า สเต็มเซลล์ จะสังเกตได้ว่าเมื่ออายุมากขึ้นเวลาที่ไม่สบายจะหายช้า ไม่เหมือนตอนที่เป็นเด็ก เพราะเซลล์ต้นกำเนิดของเราหรือสเต็มเซลล์มีการเสื่อมสภาพลง การซ่อมแซมก็น้อยลงกว่าปกติ

 

7 วิตามินดีที่ร่างกายต้องการพร้อมเสริมสร้างได้ด้วยการกิน

เพื่อชะลอความชรา หลายคนจึงหาแนวทางป้องกัน ซึ่งเทคนิคการดูแลสุขภาพแบบเวชศาสตร์ชะลอวัย ง่ายๆ ได้แก่หลัก 3 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ ซึ่งทั้ง 3 อ.นี้จะต้องดูแลให้ดีและสมดุล มาดูกันว่า 7 วิตามินดีที่ร่างกายต้องการและเสริมสร้างได้ด้วยการกิน มีอะไรบ้าง

ดูเด็กกว่าอายุจริงไม่พึ่งมีดหมอทำได้อย่างไร? เวชศาสตร์ชะลอวัย มีคำตอบ!

1. วิตามินซี

วิตามินซีที่ได้รับการยกย่องจาก Dr.Nicholas Perricone แพทย์ด้าน Anti-aging Medicine จากนิวยอร์กว่าเป็นวิตามินระดับซูเปอร์สตาร์ เป็นวิตามินตัวแรกๆ ที่ถูกค้นพบว่าสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี (Melanin) ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น และมีส่วนสร้างคอลลาเจน จึงป้องกันการเกิดริ้วรอยและการเสื่อมสภาพของผิว นอกจากในเรื่องของผิว วิตามินซียังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดอาการโรคภูมิแพ้ ป้องกันโรคที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระ (Oxidative stress) เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้

คำแนะนำ : ควรกินประมาณ 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยรวมกับปริมาณที่ได้รับจากการทานอาหารด้วย  และเพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด ควรแบ่งทานครั้งละไม่เกิน 500 มก. เช่น แบ่งทานครั้งละ 1 เม็ด (500 มก.) เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ 100% โอกาสที่วิตามินซีจะมากเกินไปและสะสมอยู่ในร่างกายนั้นมีน้อย และถูกขับออกทางปัสสาวะได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในคนไข้กลุ่มโรคไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานวิตามินใดๆ

2. โอเมกา 3

ยาแก้อักเสบจากธรรมชาติ คือโอเมก้า 3 ที่มาจากไขมัน น้ำมันปลา หรือน้ำมันเข้มข้นที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ในทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็น Natural COX 2 inhibitor ชั้นยอด คือเป็นสารที่สามารถไปยับยั้งการสร้างสารก่อการอักเสบ (Inflammation) ในร่างกาย โอเมกา 3 ยังช่วยเพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL) ลดระดับ Triglyceride ลดการอักเสบของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดความดันในผู้ป่วยความดันสูง ช่วยลดการอักเสบของเซลล์สมอง ป้องกันอัลไซเมอร์ ลดอาการข้ออักเสบรูมาตอยด์

คำแนะนำ : โอเมกา 3 ที่แนะนำให้กินในแต่ละวันจะอยู่ที่ 1-2 กรัม/วัน

3. วิตามินดี

ของดีที่หาได้ฟรีๆ คือวิตามินดี จากแสงแดดยามเช้า ที่ช่วยในเรื่องการเสริมสร้างกระดูก นักวิจัยยังค้นพบประโยชน์ของวิตามินดีอีกมากมาย ทั้งการป้องกันมะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ในผู้หญิง มะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ช่วยป้องกันและรักษาโรคซึมเศร้าได้

คำแนะนำ : ให้ผิวหนังสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ อย่างน้อยวันละ 7 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อให้ UVB จากแสงแดด ได้กระตุ้นผิวหนังให้สร้างวิตามินดีได้เต็มที่ ให้หลีกเลี่ยงการทาครีมกันแดด ในช่วงที่ต้องการสัมผัสแดด และสวมใส่เสื้อแขนสั้น

4. วิตามินอี

วิตามินอี เป็นอีกหนึ่งในกองทัพต้านอนุมูลอิสระที่ทรงอานุภาพ วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน แต่ไม่ละลายในน้ำ ดังนั้น ในบางบริเวณของร่างกายอย่างเยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งเป็นไขมัน จะต้องอาศัยวิตามินที่ละลายในไขมันได้ เข้าไปจัดการกับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือวิตามินซีกับวิตามินอีนั้น มีการแบ่งโซนการดูแลจัดการทำลายอนุมูลอิสระนั่นเอง นอกจากช่วยปกป้องคุ้มครองคอลลาเจน ให้รอดพ้นจากการทำลายของอนุมูลอิสระ วิตามินอียังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผนังเซลล์ ไม่ให้ถูกทำลาย มีการศึกษาพบว่า วิตามินอีมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นโลหิตในสมองตีบ อัลไซเมอร์ และมะเร็ง

คำแนะนำ : การกินวิตามินอีแบบอัดเม็ดเพื่อเสริมอาหารนั้น ควรเลือกที่เลียนแบบวิตามินอีในธรรมชาติได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคฟีรอล แกมมาโทโคฟีรอล และโทโคไทรอีนอล ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำอยู่ที่ 200-400 IU/วัน

5. โคเอนไซม์คิวเท็น

ปราการด่านแรกที่ปกป้องผิว คือโคเอนไซม์คิวเท็น สารที่ช่วยเอนไซม์ทำงาน ช่วยให้ระบบร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ซึ่งพบมากในอวัยวะที่ใช้พลังงานมากอย่างเซลล์หัวใจ เซลล์กล้ามเนื้อ Q10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งจริงๆ แล้ว ร่างกายของคนเราทุกคนมี Q10 อยู่ในเซลล์ต่างๆ ตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น มักเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป พบว่าระดับ Q10 ในเซลล์ต่างๆ จะถูกสร้างน้อยลงไปเรื่อยๆ มีการศึกษาในกลุ่มคนไข้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวว่า เมื่อได้ทาน Q10 เสริมพบว่าการทำงานของหัวใจดีขึ้น ในส่วนของผิวหนังพบว่า เมื่อถูกแสงยูวีเอ UV A ทำลาย เกิดเป็นอนุมูลอิสระขึ้น Q10 เปรียบเสมือนพลทหารด่านแรก ที่เข้าช่วยปกป้องผิวให้รอดพ้นจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

คำแนะนำ : ปริมาณโคเอนไซม์คิวเท็นที่แนะนำ คือ 30-100 มิลลิกรัมต่อวัน และในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนที่จะไปซื้อหามากินเอง

6. แอลฟาไลโพอิกแอซิด

แอลฟาไลโพอิกแอซิด (Alpha lipoic acid) หรือ ALA จะทำการรีไซเคิล วิตามินตัวอื่นคือ วิตามินซี อี โคเอนไซม์คิวเท็น และกลูทาไทโอน ที่ถูกใช้ไปแล้ว ให้เอากลับมาใช้ใหม่ได้อีก และยังสามารถทำงานต้านอนุมูลอิสระทั้งในบริเวณที่เป็นไขมันและบริเวณที่เป็นน้ำ เปรียบได้กับทหารหน่วยรบพิเศษ ที่สามารถบุกโจมตีข้าศึกได้ทุกที่ไม่ว่าทางพื้นดิน ทางอากาศ หรือทางน้ำ ในยุโรปนั้นยังมีการใช้ ALA เพื่อเป็นตัวเสริมในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เพราะมีการศึกษาพบว่า ALA อาจช่วยลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในคนไข้โรคเบาหวาน มีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยธรรมชาติ

คำแนะนำ : การทาน ALA เพื่อเสริมสุขภาพทั่วไปอยู่ที่ 50-100 มิลลิกรัม/วัน และการทานเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานอยู่ที่ 100-200 มิลลิกรัม/วัน

7. สารสกัดจากองุ่น

องุ่นประกอบด้วยสารสำคัญคือ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งพบมากในผิวองุ่น และ OPC (Oligomeric, proanthocyanidin, Proanthocyanidin, Pycnogenol) พบมากในเมล็ด นักวิจัยจากฮาร์เวิร์ดได้ทำการทดลองแล้วพบว่า Resveratrol สามารถยืดอายุขัยของเซลล์ได้ โดยไปกระตุ้นยีน Sirtuin 2 ซึ่งเป็นยีนที่มีบทบาทในการยืดอายุเซลล์ให้มีชีวิตยืนยาว เรสเวอราทรอลยังมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจ ช่วยยับยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด ลดไขมันตัวไม่ดี (LDL Cholesterol) และป้องกันการเกิดมะเร็ง ผ่านการกระตุ้นยีนกดการทำงานของมะเร็งได้อีกด้วย ส่วนสาร OPC นั้น พบได้ในผลิตภัณฑ์พวก Grape seed extract มีการศึกษาพบว่า การรับประทาน OPC เปรียบเสมือนมีสารกันแดดจากภายใน เพราะ OPC ช่วยลดการถูกทำลายจากแสงยูวีของเซลล์ผิวหนังลงได้ถึง 15% และยังช่วยยับยั้งการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนได้

นอกจาก7 วิตามินดีที่ร่างกายต้องการแล้ว แนะนำให้เพิ่มเรื่องการออกกำลังกาย การนอน ฮอร์โมน และการดื่มน้ำให้มีสัดส่วนสมดุลกัน ไม่อย่างนั้น ความชราอาจจะถามหาก่อนถึงเวลาอันควร