กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอลเปิดปฏิบัติการ “นอร์ทเธิร์น แอร์โรวส์” โดยโจมตีทางอากาศทำลายเป้าหมายของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เกือบ 1,300 แห่ง ในภาคใต้และตะวันออกของเลบานอน รวมถึงโจมตีแบบจำกัดเป้าหมายในกรุงเบรุตเมื่อวันจันทร์ (23 กันยายน) และสามารถสังหารนักรบฮิซบอลเลาะห์ได้จำนวนมาก
นอกจากนี้อิสราเอล ระบุว่า การโจมตีพุ่งเป้าทำลายโครงสร้างพื้นด้านของฮิซบอลเลาะห์ที่สั่งสมมาตลอดเกือบ 20 ปี ที่ตั้งอยู่ในภาคใต้ของเลบานอน และหุบเขาเบกา ซึ่งมีการเก็บซ่อนจรวด เครื่องยิงขีปนาวุธ และโดรน ไว้ในบ้านเรือน
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของเลบานอน รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 492 ราย ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงเด็ก 35 ราย และผู้หญิง 58 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีก 1,645 ราย แต่ไม่ได้ระบุว่า ผู้เคราะห์ร้ายเป็นพลเรือนหรือสมาชิกฮิซบอลเลาะห์จำนวนเท่าใด และหลายพันครอบครัวต้องอพยพหนีออกจากบ้านเรือน
จำนวนผู้เสียชีวิตในวันเดียวเกือบเท่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในช่วงสงครามนาน 34 วัน ระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ในปี 2549
ขณะที่ฮิซบอลเลาะห์ยิงจรวดราว 20 ลูก ใส่เป้าหมายทางทหารของอิสราเอลช่วงเช้ามืดวันนี้เป็นการตอบโต้ล่าสุด หลังจากยิงจรวดราว 200 ลูก ใส่ภาคเหนือของอิสราเอลเมื่อวันจันทร์ แต่กองทัพอิสราเอล เผยว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศสามารถยิงสกัดได้บางส่วน
นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล แถลงผ่านคลิปที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ โดยยืนยันว่า อิสราเอลไม่ได้ต้องการทำสงครามกับเลบาอน แต่เป็นการรบกับฮิซบอลเลาะห์ และกล่าวหาว่าฮิซบอลเลาะห์ใช้ประชาชนเลบานอนเป็นโล่มนุษย์มานานแล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ที่จะตกเป็นเป้าโจมตี ตามที่กองทัพอิสราเอลได้แจ้งเตือน
นายกรัฐมนตรีนาจิบ มิกาติ ของเลบานอน ประกาศในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การรุกรานของอิสราเอลอย่างต่อเนื่องในเลบานอน ถือเป็นสงครามถอนรากถอนโคน และรัฐบาลจะหยุดยั้งสงครามครั้งนี้ และหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายสู่จุดที่ไม่อาจคาดเดาได้ และเรียกร้องให้สหประชาชาติและมหาอำนาจในโลกร่วมมือกันยับยั้งแผนของอิสราเอลที่จะทำลายบ้านเมืองทั่วเลบานอนให้ย่อยยับ
บรรดาชาติอาหรับประณามการโจมตีล่าสุดของอิสราเอล และฝรั่งเศสเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเรื่องสถานการณ์ในเลบานอนในสัปดาห์นี้ และหลายชาติร่วมแสดงความกังวลว่า การสู้รบจะรุนแรงยิ่งขึ้นจนนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ และอาจลุกลามทั่วภูมิภาค
ขณะที่สหรัฐฯ ส่งทหารจำนวนหนึ่งไปเพิ่มในตะวันออกกลาง เพื่อสมทบกับกำลังทหาร เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่ปฏิบัติภารกิจในภูมิภาคอยู่ก่อนแล้ว