โพลชี้เดโมแครต 1 ใน 3 อยากให้ “ไบเดน” ถอนตัว

ผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ร่วมกับอิปซอสส์ (Reuters/Ipsos) หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำผลงานได้ย่ำแย่ระหว่างการประชันวิสัยทัศน์ หรือ ดีเบท กับโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พบว่า สมาชิกพรรคเดโมแครต 1 ใน 3 คิดว่า ไบเดนควรถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคไปสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายน แต่ก็ยังหาคนที่ดีกว่าไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่มีบารมีพอที่จะเอาชนะทรัมป์ได้

ในบรรดารายชื่อบุคคลระดับ "ท็อป" ของเดโมแครต มีเพียงมิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ที่มีคะแนนนิยมเหนือกว่าไบเดน และนำทรัมป์อยู่ที่ 50% ต่อ 39% แต่เธอก็ย้ำหนักแน่นมาโดยตลอดว่า ไม่คิดลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

ส่วนคนอื่นมีแนวโน้มว่าจะแพ้ทรัมป์ รวมทั้งรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ที่มีคะแนนนิยมตามหลังทรัมป์ ที่ 42% ต่อ 43%, ส่วนเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ดาวรุ่งของพรรค ก็ยังห่างชั้นกับทรัมป์ เพราะคะแนนตามหลังอยู่ที่ 39% ต่อ 42%

นอกจากนี้ผลสำรวจทางออนไลน์โดยกลุ่มไม่แสวงกำไร "โอเพ่น แลบส์" (OpenLabs) ที่จัดทำขึ้นในเวลา 72 ชั่วโมง หลังการดีเบท พบว่า 40% ของผู้ที่เคยลงคะแนนเสียงให้ไบเดนเมื่อปี 2563 เชื่อว่า ถึงเวลาที่ไบเดนยุติการหาเสียง ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ตอนนั้น มีเพียง  1 ใน 4 ของคนที่ลงคะแนนเสียงให้เขา เมื่อปี 2563 ที่เห็นว่าเขาควรถอนตัว

ผลโพลนี้ถูกเวียนเป็นบันทึกช่วยจำลับในหมู่สมาชิกเดโมแครต แสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนไบเดน เริ่มพังทลายในสมรภูมิสำคัญ รัฐที่ไบเดนไม่ต้องเหนื่อยในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อย่าง นิวแฮมเชียร์ เวอร์จิเนีย และนิวเม็กซิโก ซึ่งอยู่ในกลุ่ม "สวิงสเตท" (Swing state) ก็กำลังมีแนวโน้มเทคะแนนให้ทรัมป์

ขณะที่ไบเดนยอมรับเรื่องผลงานการดีเบทที่ย่ำแย่ระหว่างหาเสียงที่เมืองแมคลีน รัฐเวอร์จิเนียเมื่อวันอังคาร โดยบอกว่า การดีเบทเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนไม่ใช่ครั้งที่ดีที่สุดของเขา และกล่าวโทษว่าเป็นเพราะอาการเจ็ทแล็ก หลังการเยือนต่างประเทศนาน 2 สัปดาห์ก่อนหน้าการดีเบท