svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“ณัฐพงษ์” เปิดซักฟอก “แพทองธาร” ไม่มีคุณสมบัติ ผู้นำฝ่ายบริหาร

24 มีนาคม 2568
เกาะติดข่าวสาร >> NationTV
logoline

“ณัฐพงษ์” ร่ายยาวเปิดญัตติซักฟอก “แพทองธาร” ไม่มีคุณสมบัติไม่เหมาะกับการดำรงตำแหน่ง ผู้นำฝ่ายบริหาร จงใจลอยตัวเหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตน ครอบครัว

24 มีนาคม 2568 ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม วาระการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ลุกขึ้นแถลงญัตติ ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

โดยเห็นว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป เพราะไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารทั้งปวง ทั้งขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ  จงใจลอยตัวเหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตน ครอบครัว พวกพ้องเป็นตัวตั้ง อยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนรวม 
“ณัฐพงษ์” เปิดซักฟอก “แพทองธาร” ไม่มีคุณสมบัติ ผู้นำฝ่ายบริหาร

อีกทั้งไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เอาเปรียบประชาชน สังคม หลอกลวง ไม่ดำเนินนโยบายที่สัญญากับประชาชน เป็นนั่งร้านตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลว ทั้งการเมือง ปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ทำลายนิติรัฐทำลายระบอบประชาธิปไตย เจตนาปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อผลประโยชน์จากพวกพ้องและกลุ่มทุน

แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น และยังยินยอมให้บุคคลในครอบครัว ชี้นำยักษ์ใหญ่เรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบุคคลในครอบครัวเป็นนายกตัวจริงที่ไม่รับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ .... จากพฤติกรรมดังกล่าวฝ่ายค้านไม่สามารถปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมนำความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนที่ยากจะแก้ไขเยียวยา

“ณัฐพงษ์” เปิดซักฟอก “แพทองธาร” ไม่มีคุณสมบัติ ผู้นำฝ่ายบริหาร
 

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปี 2566 ประชาชน 40 ล้านคนเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวังเชื่อมั่นศรัทธา ว่ารัฐสภาแห่งนี้จะแก้ไขปัญหา เพื่อหยุดทศวรรษแห่งความสูญเปล่า และยืนยันสิทธิว่าพอกับ 9 ปีที่ถูกริดรอนสิทธิพลเมือง ถูกขโมยโอกาสถูกกดขี่คุณภาพชีวิต แต่ผ่านมา 2 ปีจนถึงวันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิมรัฐบาลที่มาจากวันนั้น ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลที่มาจากคณะรัฐประหาร

การบริหารราชการแผ่นดินถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้อง ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินสะเปะสะปะ ปล่อยประละเลยชีวิตประชาชน เผชิญกับปัญหา ตั้งแต่ปัญหาไฟป่าจนถึงปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ปัญหาทุนเทาไปจนถึงปัญหาชายแดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษาไปจนถึงการขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ค่าไฟแพง รวมถึงปัญหาด้านการเกษตร ปลาหมอคางดำ การทุจริตคอรัปชั่น ทุกวันนี้ยังเจอปัญหาแบบเดิม

โดยอ้างอิงว่าประชาชนยังไม่มีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการหาทางออกให้กับประเทศ ทั้งที่การเลือกตั้งปี 2566 ประชาชนส่วนใหญ่ลงมติว่าต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่คำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มต้นดำรงอยู่และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” โดยผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตรและครอบครัวเป็นแกนกลาง และมีผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิดเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรองส่วนประเทศและประชาชนต้องรอใกล้วันเลือกตั้งค่อยปรับบทละคร 

“ถ้านายกฯคิดว่าแบบนี้ประชาชนเค้ารู้ไม่ทันหรือ พฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาจนถึงสมัยคุณแพทองธาร ชินวัตร ที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็นนั่งร้าน ให้กับกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อใคร เพื่อคนตระกูลชินวัตรใช่หรือไม่ เพื่อให้บุคคลในครอบครัวและกลุ่มอำนาจรัฐบาล ให้บริวารได้เป็นรัฐมนตรี ถึงเวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาสงสัยไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะอันที่จริงพวกเขาหลอมรวมเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดไปแล้ว” นายณัฐพงษ์กล่าว

“ณัฐพงษ์” เปิดซักฟอก “แพทองธาร” ไม่มีคุณสมบัติ ผู้นำฝ่ายบริหาร
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ทำงานร่วมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่เกี่ยวกับเจนเนอเรชั่นหรือภูมิหลัง เพราะใช้วิธีจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองผ่านสนามกอล์ฟ ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาว เช่นเดียวกันรู้ช่องทางการทำมาหากินผ่านระบบราชการ หรือพูดอีกอย่างคือนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาลพูดภาษาเดียวกัน และเล่นเกมเดียวกันตั้งแต่แรก ประชาชนสังเกตได้ไม่ยากเรื่องไหนที่สามารถเดินหน้ารวดเร็วได้ผิดปกติไม่สนคำทักท้วง รีบผลักดันคือเรื่องที่ดีลผลประโยชน์

“อย่างเช่นเรื่องเอนเตอร์เทนคอมเพล็กซ์ ที่กลายเป็นวาระเร่งด่วนให้ความสำคัญเหนือการแก้ไขปัญหาชาวนา หรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน ท่านนายกรัฐมนตรี จากวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ที่สื่อมวลชนตั้งคำถามว่า รู้สึกอย่างไรกับคำว่า “ดีลแลกประเทศ” ตั้งชื่อให้จากการอภิปรายครั้งนี้ หากจำได้ตอบว่าอย่างไร ท่านถามกลับว่าตระกูลชินวัตรได้อะไร สื่อมวลชนอธิบายตอบว่าได้คุณทักษิณกลับบ้านไง ท่านนายกตอบคำถามต่อว่า ได้คุณพ่อกลับมา อ๋อคงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดไป ชัดเจนดีอย่างน้อยนายกรัฐมนตรีก็รับตรงๆ โดยในโดยไม่ปฏิเสธว่าดิวในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เพื่อพาคุณพ่อกลับบ้านจริงๆ เพราะถ้าหากไม่เกี่ยวสัญชาตญาณแรกของการตอบคำถามก็ต้องปฏิเสธทันที แต่นี่ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ แต่วันนี้อยากชวนนายกรัฐมนตรีสนทนาต่อว่าดีลแลกประเทศ ยังรวมถึงเรื่องอื่นๆที่คนไทยต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาล ภายในดีลนี้” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ผ่านไป 2 ปี การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม โดยชี้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอยลง ถูกจัดอยู่ในประเทศที่ประชาธิปไตยบกพร่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า ถูกนานาประเทศถูกประณามกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับจีน นายกรัฐมนตรีกำลังทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมถอยลงภายใต้เปลือกรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  ในมุมเศรษฐกิจดูผิวเผินเหมือนได้รัฐบาลที่เก่งเศรษฐกิจ พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้นเพราะไม่ได้ทำการบ้านล่วงหน้า จากที่เคยคุยไว้ได้5% เหลือ2.5% ได้เพียงครึ่งเดียวของคำโฆษณาแต่ทิ้งไว้ด้วยนะคะที่สังคมไทยต้องจ่ายมากมายมหาศาล ปัญหาของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาไม่ยอมรับสมัยไทยรักไทยได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอกไม่ได้เก่งด้วยตัวเอง วิกฤติต้มยำกุ้งได้นโยบายที่กองอยู่บนโต๊ะไปสานต่อ เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้า เงินบาทอ่อนตัวช่วยให้การส่งออกโตก้าวกระโดด น่าเสียดายเมื่อเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนโยบายที่เคยกองบนโต๊ะตอนนี้ไม่มีแล้ว 

“ในแง่การบริหารประเทศการได้นายทักษิณกลับประเทศ ดูเหมือนประเทศไทยกำลังได้ผู้นำแพ็คคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ คนหนึ่งเดินสายทำงานนอกทำเนียบ โชว์เวอร์ชั่นใหม่แทบทุกเวที ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ทำงานในทำเนียบ พร้อมประสานทำงานกับคนรุ่นเก่า ไม่ต่างกับด้านการเมืองเศรษฐกิจที่ได้กล่าวไป ในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้น กำลังมีผู้นำนอกระบบที่ทำงานนอกทำเนียบ เป็นคนชี้นำวาระเป็นคนให้ข้อมูลให้นโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดรับผิดชอบใด เพราะไม่ต้องถูกถ่วงดุลตรวจสอบ” นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกันวันหนึ่ง เคยบอกจะให้ค่าไฟ 3.70 บาทแต่ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผ่านมาสองเดือนบอกจะ ลดค่าไฟให้เหลือ 2.50 บาทราคาค่าไฟลดเร็วพอกับความน่าเชื่อถือแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกลายเป็นคนนอกระบบพูดไปเรื่อยไม่ต้องรับผิดรับผิดชอบส่วนคนที่อยู่ในระบบนั่งอยู่ในสภาแห่งนี้แทนที่จะเป็นพลังตัวแทนของคนรุ่นใหม่กับขาดทั้งความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และขาดเจตจำนงทางการเมือง ลองดูขาดความรู้ความสามารถท่านนายกฯ การตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ว่าจะช่วยการส่งออกถือว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างน่าตกใจ ขาดทั้งวุฒิภาวะ ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศ ถามว่านายกจะเอาอย่างไรกับปัญหาค่าไฟแพงให้ตอบกระทู้ในสภา นายกตอบคำถามสื่อมวลชนว่า “เมอร์รี่คริสต์มาส” ขาดเจตจำนงทางการเมือง หกเดือนที่ผ่านมาเคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำตัวจริงผลักดันให้เกิดการแก้แก้ไขปัญหาได้บ้าง ตั้งแต่ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหลือแต่การลอยตัวหนีปัญหาไม่สนไม่แคร์กับความเดือดร้อนของประชาชน 

“ เมื่อรวมผู้นำนอกระบบอย่างคุณทักษิณและผู้นำในระบบอย่างคุณแพทองแล้ว ประเทศไทยเสียสองต่อ เพราะมีแต่คนที่กำหนดวาระลอยตัวไม่รับผิดชอบกับคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ ท่านนายกรัฐมนตรีอยากให้ตระหนักรู้ไว้อยู่เสมอว่าการกระทำของทุกท่านล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นโดยตรงของประชาชน จะทำตัวแบบเดียวกับนายกที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาเป็นเพียงแค่เรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาเหมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมือง มอง สส. ในสภาเป็นเพียงจำนวนนับให้จัดตั้งรัฐบาล แบบนี้ไม่ได้ ลองดูว่าตราบใดที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังดำรงอยู่ในตำแหน่งต่อไปประเทศจะต้องแลกด้วยอะไรอีกบ้าง” นายณัฐพงษ์กล่าว

ผู้นำฝ่ายค้าน  กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 1.เรื่องค่าไฟ นายกฯ มีการไปตีกอล์ฟเพื่อดิวสัมปทานไฟฟ้ามูลค่าหลาย 100,000 ล้านบาท เพื่อสูบเงินออกจากกระเป๋าชาวนาและคนไทยไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัว นี่นี่คือต้นทุนอย่างแรกที่ประชาชนต้องจ่าย ไปกับดีลแลกประเทศ รัฐบาลชุดนี้นอกจากไม่แตะต้องแต่พร้อมเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนคนใกล้ชิดรัฐบาล 

เรื่องที่2. เรื่องที่ดินที่ลงพื้นที่อุตรดิตถ์ และสุราษฎร์ธานี ที่มีปัญหาป่าทับที่การให้สัมปทานนายทุน ชาวนายังขาดที่ดินทำกินจำนวนมาก แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่คือการดีล ของสองพรรคร่วมรัฐบาลกรณีที่ดินทับซ้อนมูลค่าหลาย 1000 ล้านบาท เรื่องที่3. การปฏิรูปกองทัพ ให้ข้อสรุปว่าประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ในการปฏิรูปกองทัพ เพราะผลงานที่ผ่านมาหกเดือนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งพ.ร.บ. ระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มุ่งหวังให้กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยถอยก็ไม่เป็นท่า หรือ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ก็ถูกโหวตคว่ำไม่เป็นท่า ชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยได้หลอมรวมกับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยขัดขวางการปฏิรูปกองทัพทุกรูปแบบ และประชาชนหมดหวังกับการบังคับเกณฑ์ทหาร

เรื่องที่ 4. ความยุติธรรม ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ รอฟังคำตอบเรื่องการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพ หลายครอบครัวยังไม่ได้รับความเป็นธรรมให้กับคดีตากใบ แต่นายกรัฐมนตรีจงใจปล่อยประละเลยไม่เร่งรัดติดตาม ในการนำตัวจำเลยที่หลบหนีในประเทศกลับมาดำเนินคดี เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน ขณะที่นายกฯตัวจริงนอกระบบกลับได้รับสิทธิ์อยู่ในชั้น 14 เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ เหนือระบบยุติธรรมในประเทศนี้ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นบุตรสาวที่รับรู้รับรับทราบสถานะของบิดาตัวเองมาโดยตลอด ยังมีกรณีผู้ต้องขังคดีทางการเมืองที่รอฟังคำตอบการนิรโทษกรรม เพียงแค่ข้อสังเกตในรายงานพรรคเพื่อไทยยังไม่โหวตรับ เป็นสิ่งที่ต้องแลกดีลแลกประเทศ

พรรคฝ่ายค้านต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แต่นายกรัฐมนตรีลอยตัวเหนือเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ตอกตะปูปิดฝาโลง  เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าประชาชนคนไทยจะไม่มีวันมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ทันต่อการเลือกตั้ง ครั้งหน้าแน่นอน ที่เป็นแบบนี้เพราะนายกรัฐมนตรีไม่สามารถกำกับดูแลเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้ ที่เถียงกันในสภาเป็นเพียงละครปาหี่ว่าจะทำประชามติอีกครั้ง ต่างรู้ว่าเป็นข้ออ้างทางกฎหมายบังหน้าเหตุผลทางการเมือง เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่ต้องการแก้ ประเทศจึงต้องสูญเสียไปอีกหนึ่งครั้ง ที่ต้องอยู่ภายใต้กติกาที่นั่งมาโดย คสช.

จากที่ได้กล่าวมา ลำพังการแจกเงิน การสร้างเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์  ไม่สามารถกู้วิกฤตให้กับประเทศนี้ได้ เพราะเงินเหมือนที่แจกไปได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้สร้างการเติบโตใดให้กับเศรษฐกิจไทย การสร้างเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์มองเห็นได้อย่างชัดล่วงหน้าว่าจะมีผู้ที่ได้รับผลประโยชน์อยู่เพียงไม่กี่กลุ่ม คือกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดรัฐบาล นี่คือหนึ่งโอกาสที่คนไทยจะต้องสูญเสีย จากการรัฐบาลที่คิดไปทำไปหาทางซื้อคะแนนเสียงไปวันวัน จากทั้งหมดที่ได้อภิปรายชี้ให้เห็นแล้วว่าดีลแรกประเทศครั้งนี้มีเพียงไม่ถึง 1% ได้รับผลประโยชน์ แม้ทำลายล้างระบบนิติรัฐนิติธรรมกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ไปถึงการยอมให้ประเทศไทยถูกแช่แข็งเศรษฐกิจล้าหลัง
 

logoline