24 มีนาคม 2568 บรรยาการการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาลงมติญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันแรก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ลุกขึ้นอภิปรายต่อจาก นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในเวลา 09.07 น. แต่ยังไม่ทันได้เริ่มอภิปราย นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วงเพื่อความชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานในการประชุมสภา ว่าตั้งแต่ตนมาเป็น สส. เข้าประชุมสภา ไม่เคยเจอ พลเอก ประวิตร เลยซักครั้ง จึงอยากถามประธานสภาฯ ว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะอภิปราย ซึ่ง นายวันมูฮัมหมัดนอร์ มาะทา ประธานในที่ประชุม บอกว่า เป็นคนละประเด็น วันนี้(24 มี.ค.2568) พลเอกประวิตร มาประชุมตามข้อบังคับ และขออภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ในฐานะสมาชิกฝ่ายค้านก็มีสิทธิ์อภิปราย จึงขอให้นายก่อแก้ว นั่งลง แต่นายก่อแก้ว พยายามที่จะแย้ง ซึ่งประธานสภาฯ จึงไม่อนุญาต
จากนั้น พลเอก ประวิตรวงษ์ ได้อภิปรายว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้าน พร้อม สส. พรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าชื่อเสนอญัตติอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจจะให้บริหารราชการแผ่นดิน ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ต่อไปอีก เนื่องจากดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจผิดพลาดล้มเหลว วันนี้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส เกิดปัญหาทุกยากทุกหัวระแหง ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่รัฐบาลได้ให้คำมั่นสัญญา พนักงานถูกเลิกจ้าง บริษัทห้างร้านปิดกิจการจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ผิดที่ผิดทาง ประชาชนเกิดปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ มีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 104% พืชผลการเกษตรตกต่ำ ตลาดหุ้นดำดิ่ง เศรษฐกิจไทยมืดมน รัฐบาลกลับนิ่งเฉย
พลเอก ประวิตร กล่าวต่อว่า ตนพยายามเอาใจช่วยนายกฯ ให้แก้ปัญหาปากท้องให้คนไทยให้สำเร็จ เพราะเห็นว่านายกฯ เคยบริหารธุรกิจมาก่อน คงมีประสบการณ์ที่จะมาช่วยประเทศชาติได้ แต่ปรากฏว่านายกฯ ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ซ้ำยังถอยหลังไปอีก จนจีดีพีของไทยรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน และที่สำคัญคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด ขาดความรู้ ความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ ด้วยการตัดงบประมาณนับแสนล้านบาทที่ควรอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่นายกฯ กลับเอาเงินก้อนนี้ไปใช้แจกเงินหมื่น ซึ่งธนาคารโลก และกองทุน IMF ได้ออกมาเตือนแล้วว่า การแจกเงินหมื่นไม่ได้ผล แต่ควรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆแทน ถ้านายกฯ ได้ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างรอบคอบในทุกด้าน วันนี้คนไทยจะไม่ลำบาก ทุกข์ใจในเรื่องปากท้องอย่างแสนสาหัส
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
อีกเรื่องที่ตนเป็นห่วงประเทศชาติอย่างมาก และไม่สบายใจต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง คือเรื่อง MOU 44 ที่วันนี้นายกฯ พาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดน และทรัพยากรทางทะเลมูลค่ามหาศาล และที่น่าเศร้าใจคือ ลูกเรือประมงไทยที่นายกฯ รับปากว่าจะพากลับประเทศไทย นี่ผ่านมา 4 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้กลับ
ในฐานะที่ตนทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิต ตั้งแต่ผู้บัญชาการทหารบก รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตนทราบดีว่า การดำเนินงานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในหลายมิติมาก ตนเห็นใจนายกฯ ที่ต้องเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่ไม่มีประสบการณ์ แต่เรื่องความมั่นคงของชาติสำคัญอย่างยิ่ง “ประเทศชาติไม่ใช่เวที ให้มือสมัครเล่น มาซ้อมมือ”
ส่วนเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินของนายกฯ โดยเฉพาะร่างกฎหมายประกอบธุรกิจ สถานบังเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รัฐบาลพยายามจะผลักดัน มันมีช่องให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องได้อย่างมาก ขอย้ำว่าโครงการนี้อันตรายอย่างที่สุด เพราะจะทำให้เกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก ซึ่งทุกวันนี้การปล่อยปละละเลยในเรื่องต่างๆ ก็ส่งผลให้ไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของธุรกิจสีเทา และปัญหาอาชญากรรมมากมายอยู่แล้ว
อีกประเด็นสำคัญ นายกฯ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) (5) ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยเฉพาะเรื่องการถือหุ้น บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ตลอดจนปล่อยปละละเลยให้บุคคลในครอบครัวกระทำการให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน เรื่องนี้ขอให้เป็นการตรวจสอบขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่อไป ผลเป็นเช่นไร เชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง
พลเอก ประวิตร กล่าวอีกว่า ทั้งหมดที่ตนกล่าวมา ไม่ใช่การกล่าวด้วยอคติ แต่ข้อมูลหลักฐานต่างๆ สส. พรรคพลังประชารัฐ อีก 4 คน จะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป ตนขอขอบคุณ สส.ทุกคนในที่นี้ โดยเฉพาะนายกฯ และประชาชนทุกคน ที่รับฟังในสิ่งที่ตนพูด
“ผมเป็นคนพูดไม่เก่ง อาจไม่กระฉับกระเฉงเท่าตอนเป็นหนุ่มๆ ผมจึงใช้ใจบันดาลแรง บริหารประเทศให้สำเร็จมาได้หลายอย่าง”
ส่วนนายกฯ เป็นคนหนุ่มสาวที่ยังแข็งแรง ก็เชื่อว่าถ้าบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัวและพวกพ้อง ตนเชื่อว่าประชาชนจะชื่นชมและยอมรับเอง พร้อมกล่าวปิดท้ายขอให้โชคดี
ทั้งนี้ ระหว่างการอภิปรายของ พลเอก ประวิตร / นายกรัฐมนตรี และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ที่นั่งฟังการอภิปรายอยู่นั้น ได้ยิ้มตลอด ขณะที่สื่อมวลชนที่ติดตามฟังการอภิปรายก็คอยลุ้นว่า พลเอก ประวิตร จะพูดไปได้แค่ไหน เพราะมีช่วงที่เสียงสั่นจากอาการเหนื่อย /
ขณะที่ สส.พลังประชารัฐ ที่นั่งข้าง พลเอก ประวิตร ก็คอยลุ้นไปด้วย โดยเมื่อจบการอภิปราย สส.ในห้องประชุมต่างปรบมือให้ พลเอก ประวิตร ทำให้ประธานสภาฯ บอกว่า ไม่ต้องปรบมือ