6 เมษายน 2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง ถอดบทเรียนตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวในใจประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น 1,125 ราย ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3 - 5 เมษายน 2568
พบว่าจากการศึกษาผลสำรวจในตารางที่ 1 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ตึกถล่มจากแผ่นดินไหว โดยร้อยละ 86.9 ระบุว่า “ร่วมเสียใจต่อการสูญเสียของผู้ประสบภัย” ความรู้สึกนี้ไม่ได้สะท้อนเพียงอารมณ์ร่วม แต่ยังเป็นฐานของพลังสังคมที่พร้อมสนับสนุนการเยียวยาอย่างจริงจัง
ในเชิงพฤติกรรม ร้อยละ 84.6 ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแจกเงินเยียวยาโดยไม่ล่าช้า ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังต่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ร้อยละ 82.3 ต้องการให้หน่วยงานรัฐออกมาขอโทษและแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน โดยไม่หลีกเลี่ยงความจริง และร้อยละ 80.3 เรียกร้องให้มีแพทย์สนามประจำดูแลเจ้าหน้าที่กู้ภัย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประชาชนไม่เพียงห่วงใยผู้ประสบภัย แต่ยังห่วงใยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่าร้อยละ 78.5 เรียกร้องให้รัฐเร่งตรวจสอบมาตรฐานอาคารและการจัดซื้อจัดจ้างอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ และร้อยละ 75.4 ต้องการให้รัฐบาลพัฒนาระบบการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างทันสถานการณ์
ที่น่าสนใจ คือ ผลสำรวจในตารางที่ 2 นำเสนอเสียงสะท้อนจากประชาชนต่อแนวทางปฏิบัติของรัฐในเชิงโครงสร้างและเชิงระบบ โดยร้อยละ 91.8 ของตัวอย่างเรียกร้องให้ “เปิดเผยรายละเอียดงบประมาณและผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารตึกถล่ม” ซึ่งเป็นสัญญาณสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ขณะที่ร้อยละ 89.2 เห็นว่า หน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนควรออกมาขอโทษและแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ
อีกประเด็นที่ได้รับความสนใจคือ ร้อยละ 88.6 เสนอให้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการอิสระและเป็นกลาง” เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และร้อยละ 87.5 เรียกร้องให้จัดตั้งหน่วยกู้ภัยเฉพาะทางสำหรับอาคารถล่มโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ร้อยละ 85.9 เห็นว่าควรจัดทำ “ระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติ” ในอาคารสูง และร้อยละ 83.7 ต้องการให้ปรับปรุงระบบสื่อสารของหน่วยงานรัฐให้มีความถูกต้อง รวดเร็ว และตรงกับสถานการณ์ ขณะที่ร้อยละ 80.4 สนับสนุนให้ยกระดับมาตรการตรวจรับงานก่อสร้าง และร้อยละ 78.6 เรียกร้องให้เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ
ที่น่าพิจารณาคือ จากตารางที่ 3 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 90.5 เห็นว่าหน่วยงานรัฐจำเป็นต้อง “เร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นและศรัทธา” ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่มีนัยสำคัญทางสังคม เนื่องจากศรัทธาต่อสถาบันรัฐคือเสาหลักของการดำรงอยู่ของรัฐประชาธิปไตย หากปราศจากความเชื่อมั่นแล้ว การสื่อสารนโยบาย การอพยพ การช่วยเหลือ และการบริจาคในอนาคตก็จะเผชิญความท้าทายอย่างยิ่ง
ร้อยละ 5.9 เห็นว่าอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 3.6 เท่านั้นที่ระบุว่า “น้อยถึงไม่เลย” สะท้อนว่านี่คือเวลาสำคัญของรัฐในการกู้วิกฤตศรัทธาด้วยความโปร่งใส จริงใจ และพร้อมรับฟัง
ที่น่าเป็นห่วงคือ เหตุการณ์ตึกถล่มจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มิใช่เพียงโศกนาฏกรรมเชิงกายภาพ หากแต่เป็นจุดสะท้อนของ “แรงสั่นสะเทือนในใจประชาชน” ที่มีต่อระบบราชการไทย เสียงจากผลสำรวจเปรียบเสมือนแผ่นดินไหวอีกลูกหนึ่ง ที่เขย่าโครงสร้างทางสังคม ความเชื่อมั่น และระบบคุณธรรมของรัฐอย่างรุนแรง
ประชาชนไม่ได้ต้องการเพียงความช่วยเหลือเฉพาะหน้า หากแต่โหยหาความโปร่งใส ความยุติธรรม และความจริงใจจากภาครัฐ พวกเขาต้องการเห็นการฟื้นฟูที่เป็นทั้ง "รูปธรรม" และ "นามธรรม" ทั้งในด้านโครงสร้างอาคารและโครงสร้างศรัทธา
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า เหตุการณ์ตึกถล่มจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มิใช่เพียงโศกนาฏกรรมเชิงกายภาพ หากแต่เป็นจุดสะท้อนของ “แรงสั่นสะเทือนในใจประชาชน” ที่มีต่อความเชื่อมั่นศรัทธาต่อระบบราชการไทย เสียงจากผลสำรวจเปรียบเสมือนแผ่นดินไหวอีกลูกหนึ่ง ที่เขย่าโครงสร้างทางสังคม ความเชื่อมั่น และระบบคุณธรรมของรัฐอย่างรุนแรง ประชาชนไม่ได้ต้องการเพียงความช่วยเหลือเฉพาะหน้า หากแต่โหยหาความโปร่งใส ความยุติธรรม และความจริงใจจากภาครัฐ พวกเขาต้องการเห็นการฟื้นฟูที่เป็นทั้ง "รูปธรรม" และ "นามธรรม" ทั้งในด้านโครงสร้างอาคารและโครงสร้าง “ศรัทธาของประชาชน” หากรัฐสามารถเปลี่ยน “วิกฤตความเชื่อมั่น” ให้กลายเป็น “โอกาสแห่งการฟื้นฟู” อย่างมีระบบและมีหัวใจของผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดีย่อมจะสามารถเยียวยาไม่เพียงผู้คนใต้ซากตึกแต่ยังรวมถึงความศรัทธาที่พังทลายไปในหัวใจของประชาชนทั้งประเทศด้วย
ความต้องการของประชาชนต่อเหตุตึกถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว
1.สะเทือนใจ ร่วมเสียใจต่อการสูญเสียของผู้ประสบภัยตึกถล่ม ร้อยละ 86.9
2.ต้องการให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแจกเงินเยียวยาช่วยเหลือรวดเร็ว ร้อยละ 84.6
3.ต้องการให้หน่วยงานรัฐเกี่ยวข้องเหตุตึกถล่มออกมาขอโทษประชาชนและเร่งรับผิดชอบ ร้อยละ 82.3
4.ต้องการเห็นแพทย์สนามแพทย์ฉุกเฉินประจำดูแลรักษาเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ร้อยละ 80.3
5.หน่วยงานรัฐเร่งตรวจสอบอาคารสูงและการจัดซื้อจัดจ้างสร้างอาคารทั่วประเทศ ร้อยละ 78.5
6.ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขการแจ้งข่าวสื่อสารสถานการณ์ล่วงหน้า รวดเร็ว ทันท่วงที ร้อยละ 75.4
7.หน่วยงานต่าง ๆ ลงพื้นที่หน้างาน ตึกถล่ม รับผิดชอบต่อความสูญเสียของประชาชน ร้อยละ 67.1
8.ต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานรัฐเกี่ยวข้องตรวจสอบมาตรฐานอาคารสูง ร้อยละ 64.4
9.ต้องการให้ทุกหน่วยงานรัฐเร่งให้ความรู้ประชาชนรับมือฉุกเฉินภัยพิบัติ ร้อยละ 63.1
ข้อเสนอแนะจากประชาชน
1.เปิดเผยรายละเอียดงบประมาณและผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารตึกถล่ม ร้อยละ 91.8
2.ให้หน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนออกมาขอโทษประชาชนและแสดงความรับผิดชอบด่วน ร้อยละ89.2
3.ตั้งคณะกรรมการอิสระ เป็นกลางตรวจสอบเหตุการณ์ตึกถล่ม ร้อยละ 88.6
4.มีหน่วยกู้ภัยอาคารสูงถล่มเป็นการเฉพาะรองรับเหตุการณ์อนาคต ร้อยละ 87.5
5.จัดทำระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติในอาคารสูง ร้อยละ85.9
6.ปรับปรุงระบบสื่อสาร รวดเร็วถูกต้องทันเวลาในสถานการณ์วิกฤติ ร้อยละ83.7
7.ยกระดับมาตรการตรวจรับงานก่อสร้าง ร้อยละ80.4
8.เปิดพื้นที่ให้มากขึ้นสำหรับภาคประชาชน ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมติดตามโครงการของรัฐ ร้อยละ 78.6
ความคิดเห็นของประชาชนต่อหน่วยงานรัฐเกี่ยวข้องกับตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว
1.ต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นศรัทธา มากถึงมากที่สุด ร้อยละ90.5
2.ปานกลาง ร้อยละ 5.9
3.น้อย ถึง ไม่เลย ร้อยละ 3.6
รวมทั้งสิ้น ร้อยละ 100.0