คณะกรรมการภาษีศุลกากรของจีนประกาศในวันพุธ (9 เมษายน) ว่า นับจากเวลา 12.01น. ของวันที่ 10 เมษายน จีนจะปรับขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดจาก 34% เป็น 84% โดยเก็บเพิ่มนอกเหนือจากภาษี 20% ที่เริ่มบังคับใช้แล้วในเดือนนี้
นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์จีนประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทอเมริกันอีก 12 แห่ง ในรายชื่อประเทศที่ต้องควบคุมการส่งออกสินค้า ที่ห้ามบริษัทจีนส่งออกสินค้าที่ใช้ประโยชน์ทั้งทางพลเรือนและทางทหารให้กับริษัทเหล่านี้ และยังขึ้นบัญชีดำบริษัทอเมริกันอีก 6 แห่ง ในรายชื่อองค์กรธุรกิจไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งรวมถึงบริษัทด้าน AI โดยบริษัทเหล่านี้จะถูกห้ามเกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการส่งออกไปจีน และห้ามดำเนินการลงทุนใหม่ในจีน
กระทรวงพาณิชย์จีนยังยื่นฟ้องถึงองค์การการค้าโลก ( WTO) โดยให้เหตุผลว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ละเมิดข้อบังคับของ WTO อย่างร้ายแรง
จีนออกมาตรการตอบโต้เหล่านี้ หลังจากสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้กับสินค้าจีนอีก34% และเก็บภาษีเพิ่มอีก 50% ในวันนี้ และเมื่อบวกเพิ่มกับภาษี 20% ที่ประกาศก่อนหน้านี้ ทำให้สินค้าจีนต้องเสียภาษีเพิ่มรวม 104%
ขณะเดียวกันชาติสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ อียู มีมติในวันนี้ให้เริ่มดำเนินมาตรการทางภาษีต่อสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมเมื่อวันที่ 12 มีนาคม
อียูจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางชนิด ซึ่งรวมถึง มอเตอร์ไซค์, สัตว์ปีก, ผลไม้, ไม้, เสื้อผ้า และไหมขัดฟัน ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีมูลค่ารวมกัน 21,000 ล้านยูโรในปีที่แล้ว โดยจะขยับขึ้นภาษีเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 15 เมษายน, 16 พฤษภาคม และ 1 ธันวาคม
การตัดสินใจมีขึ้นหลังจากสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีศุลกากรอัตราใหม่ที่ 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากอียู
แถลงการณ์ของคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ชอบธรรมและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย และเศรษฐกิจโลก พร้อมกับย้ำจุดยืนว่า ต้องการหาทางออกผ่านการเจรจา ที่จะต้องเท่าเทียมและได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกัน
แต่สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ กล่าวถึงการขึ้นภาษีของจีนว่า จีนไม่ได้มีความได้เปรียบอะไร เพราะจีนขายสินค้าให้สหรัฐฯ มากกว่าซื้อ “ดังนั้นจะขึ้นภาษีก็ได้ แต่แล้วไง”
นอกจากนี้เขาเตือนไม่ให้ชาติคู่ค้าของสหรัฐฯ หันไปกระชับความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้น โดยบอกว่า จะได้รับผลลัพธ์ตามมา โดยคำเตือนมีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีเศรษฐกิจสเปน บอกว่า จีนอาจเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับสเปนและชาติอื่น ๆ ในยุโรป
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ในทรูธ โซเชียล โดยเรียกร้องให้ชาวอเมริกันใจเย็น หลังการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่าร้อยปี เสี่ยงทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยและเงินเฟ้อสูงขึ้น เขาระบุว่า “ทุกอย่างจะได้ผลดี สหรัฐฯ จะยิ่งใหญ่ขึ้นและดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา”
แต่ไบรอัน เบททูน นักเศรษฐศาสตร์ บอกว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้มีโอกาส 100% ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ (Stagflation)