นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชซ ของสเปน เดินทางถึงกรุงฮานอยของเวียดนามในวันพุธ (9 เมษายน) โดยเป็นนายกรัฐมนตรีสเปนคนแรกที่เยือนเวียดนาม นับจากสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2520
ซานเชซยังเป็นผู้นำยุโรปคนแรกที่เยือนเอเชีย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรกับ 185 ประเทศและดินแดนทั่วโลกในสัปดาห์ที่แล้ว และการเก็บภาษีตอบโต้ต่อสินค้านำเข้าจากราว 60 ประเทศและดินแดนเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้ โดยเวียดนามเผชิญอัตราภาษีที่ 46% และสหภาพยุโรปหรืออียู เจอภาษี 20%
นายกรัฐมตรีฝั่ม มิญ จิ๊ญ ของเวียดนาม บอกกับผู้นำสเปนว่า เวียดนามต้องการสถาปนาความสัมพันธ์สู่ระดับหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างครอบคลุมกับสเปนโดยเร็วที่สุด และนายกรัฐมนตรีซานเชซ บอก สเปนอยากขยายการลงทุนในเวียดนาม ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟ ที่สเปนสามารถแบ่งปันความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างรางรถไฟความเร็วสูง
สองฝ่ายยังตกลงกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ และสนับสนุนการค้าเสรี โดยซานเชซ ยังบอกด้วยว่า สเปนคัดค้านความขัดแย้งทางการค้า และเชื่อว่า สงครามการค้าไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายใด แต่ส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย
ผู้นำเวียดนาม บอกด้วยว่า เวียดนามเคยเสนอให้สเปนเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรปและละตินอเมริกา และเวียดนามตกลงจะเป็นสะพานเชื่อความสัมพันธ์ระหว่างสเปนและอาเซียน
ทั้งสองลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน 5 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมทั้งความร่วมมือด้านการเงิน, วัฒนธรรมและความปลอดภัยทางการเกษตร
นายกฯ สเปนยังมีกำหนดเยือนนครโฮจิมินห์ในวันพฤหัสบดี เพื่อพบปะกับผู้นำภาคธุรกิจเพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และพูดคุยเรื่องโอกาสการลงทุนระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ซานเชซจะเยือนจีนในวันศุกร์ ซึ่งจะเป็นการเยือนจีนครั้งที่ 3 ในรอบ 2 ปี และคาดว่าจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนักธุรกิจชั้นนำของจีน ก่อนหน้านี้ในการเยือนจีนเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เขาเรียกร้องให้อียูทบทวนแผนขึ้นภาษีศุลกากรกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน
คาร์ลอส คูเออร์โป รัฐมนตรีเศรษฐกิจสเปน กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า จีนจะเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับสเปนและยุโรป และเชื่อว่า ความพยามของนายกรัฐมนตรีเพื่อส่งสารดังกล่าวได้รับการยอมรับและเห็นด้วยจากชาติสมาชิกอียูมากขึ้น