26 มีนาคม 2568 เวลา 14.30 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(รองผบช.ก.) นำแถลงสรุปผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ภายใต้ชื่อปฏิบัติการสยบนาคี ล้างบางเส้นทางยาเถื่อน ที่ได้ตรวจค้น จับกุมผู้ต้องหาไปทั้งหมด 17 จุด
พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) กล่าวว่า หลังเปิดประเด็นเรื่องนี้ทางโซเชียลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ตำรวจได้ประสานรับข้อมูลและสืบสวน จนสามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้ทั้งหมด 12 ราย และขอออกหมายจับ 8 ราย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย และยี่ปั๊ว 6 ราย ยังมีการเรียกแม่ข่ายใน จ.ลพบุรี มาแจ้งข้อกล่าวหา อีก 4 ราย รวมเป็น 12 ราย
ด้าน พ.ต.อ.เพิ่มวุฒิ ประทุมราช ผู้กำกับการ 1 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ อธิบายขบวนการทุจริตยานี้ว่า เริ่มขึ้นเมื่อประมาณปี 2561 แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ แพทย์หญิงบรินดา ที่สั่งจ่ายยา และ พันเอกหญิง กัญญารัตน์ ที่เป็นหัวหน้าขบวนการ ที่มีการจับกุมในวันนี้
ตามพฤติการณ์ เริ่มจาก พญ. กัญญารัตน์ หาเครือข่ายแม่ทีมที่ จ.ลพบุรี แบ่งเป็น 6 ทีม ทีมละ 100 คน จะเท่ากับ 600 คน จากนั้นแม่ทีมจัดหาบุคคลที่อ้างเป็นผู้ป่วยชักชวนให้มาหาหมอ และพาขึ้นรถตู้มาพบ พญ.บรินดา ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อรับการวินิจฉัย โดยทุกคนมีสิทธิเบิกจ่ายตรงจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทนหัวละ 1,000 บาทในครั้งแรก หลังจากนั้นได้หัวละ 500 บาท และได้เปอร์เซ็นต์อีก 10% จากค่ายาที่เบิกได้ ส่วนแม่ทีมได้ค่าตอบแทนหัวละ 1,500 บาท
จากนั้น จะมารวมยากันที่ปั๊มน้ำมันข้างโรงพยาบาลและนัดหมายนำยาไปส่งในที่ต่างๆ ทั้งที่พักย่านเกียกกาย และคอนโดย่านพระราม 4 ของ พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ โดยจะมีแม่บ้านเป็นตัวแทน พญ.กัญญารัตน์ มารับ
ใน 1 สัปดาห์ แพทย์หญิงรายนี้จะลงตรวจทั้งหมด 3 วัน ดังนั้น ทุกวันอาทิตย์ จะมีรถแท็กซี่มารับยาจากคอนโดย่านพระราม 4 นำไปส่งให้ นายสมปราช ที่จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งเป็นบุคคลที่รับซื้อยาหรือลักษณะเหมือนยี่ปั๊ว ทอดแรก ก่อนจะส่งขายกลับมาที่กรุงเทพฯ ให้นางสาวสุรีย์ และนายสมพงศ์ ซึ่งเปรียบเหมือนยี่ปั๊วเถื่อน แล้วนำกระจายยา ไปตามร้านขายยาต่างๆ
ทั้งนี้ จากการตรวจค้นที่ จ.ปราจีนบุรี พบถุงสีฟ้าที่ใช้บรรจุยา ตรงกันกับถุงสีฟ้าที่พบในคอนโดย่านพระโขนงและพระราม 4 ด้วย
ขณะที่ พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรม ป.ป.ท. กล่าวยืนยัน ว่า วันนี้ถือเป็นดำเนินคดีเครือข่ายทั้งหมด 12 คนแล้ว ครบทั้งขบวนการไม่เหลือใครตกขบวนแล้ว ผู้ต้องหาทั้งหมด 12 คน ให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหาทั้งหมด มีเพียงนายสมปราช ที่เป็นคนรับยามาจาก พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ และถูกจับกุมใน จ.ปราจีนบุรี นั้น ยอมรับแค่ในพฤติการณ์ที่ทำ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหา
จากการตรวจสอบพบว่า นายสมปราช หลังจากรับยามาจาก พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ จากนั้นนางสาวสุรีย์ ได้ซื้อต่อมา แล้วนำมากระขายส่งต่อที่ร้านขายยา นายสมปราช กับ นางสาวสุรีย์ รู้จักกันผ่านทางโซเชียล และค้าขายยากันมา 6-7 ปีแล้ว
การได้ผลประโยชน์ของขบวนการนี้ด้วยว่า ยามี 2 ชนิด คือ ยาในบัญชีที่ผลิตในประเทศไทย ส่วนยานอกบัญชี คือ ยาที่นำเข้ามาจากประเทศ มีราคาแพง ซึ่งจากการพบในเคสนี้ เป็นยานอกบัญชี 90% ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นห่างกัน 2-10 เท่าตัว และเคสนี้ยาไม่มีต้นทุน เพราะทุกบัตรประชาชนที่ถือมาคนที่จ่ายเงินคือกรมบัญชีกลาง
จากการตรวจสอบพบเป็นยาในกลุ่มเรื้อรัง ยาเบาหวาน ความดัน และยาที่พบมากที่สุดในขบวนการนี้ คือ ยาลดไขมันในเลือด ซึ่งมีราคาเกือบ 1,000 บาทต่อกล่อง ต้นทุนอาจจะ 3 บาทต่อเม็ด แต่พอไปถึงร้านขายยาเพิ่มขึ้นเป็น 20-21 บาทต่อเม็ด ซึ่งจากขบวนการนี้ สร้างความเสียหายต่อรัฐทั้งหมด 50-60 ล้านบาท
พยานหลักฐานในคดีนี้ ที่นำไปสู่การออกหมายจับและเอาผิด เริ่มจากการใช้ดุลพินิจที่ผิดปกติ จากการไปตรวจสอบเวชระเบียน พบการกรอกเอกสารเท็จ จึงเข้าข้อหา เรื่องของการทำเอกสารอันเป็นเท็จ นอกจากนี้ยังมีพยานหลักฐานที่เข้ามายืนยัน เรื่องการรับประโยชน์ เส้นทางการเงิน
รวมถึงการตรวจสอบการทำหน้าที่ของแพทย์หญิง ซึ่งได้ตรวจสอบไป 5 ปีย้อนหลัง พบว่าแพทย์หญิงท่านนี้มีคนไข้ที่อยู่ในความดูแล 2,000 กว่าคน และเครือข่ายพวกนี้ จะแวะมาโรงพยาบาล 4 ครั้งต่อปี เท่ากับจะรักษาคนไข้และจ่ายให้หมื่นกว่าครั้งต่อปี จึงเป็นความผิดปกติทั้งหมด
ส่วนเภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา บอกว่า นอกจากเขาจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการแล้ว ยังได้ตรวจค้นร้านขายยา 11 จุด พบว่า 5 ร้านที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง แต่อีก 6 ร้าน พบว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะรับยามาจากแหล่งไม่ถูกต้อง และมีการขายยาโดยที่เภสัชกรไม่อยู่ อีกทั้งยังขายยาในกลุ่มที่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดย 1 ใน 6 ร้าน พบสภาพไม่ได้เป็นร้านขายยา เป็นตึกปิดมิดชิด และไม่มีใบอนุญาตขายยาด้วย จะต้องไปตรวจสอบต่อด้วยว่า ยาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทนั้น มีการนำมาจากที่ใด
ส่วนร้านขายยาจะรู้หรือไม่ว่า ยาที่รับมามีการทุจริตนั้น มองว่า ร้านขายยาอาจจะไม่รู้ ว่ายามาจากขบวนการทุจริต แต่มีความไม่เหมาะสมที่ไปซื้อยามาจากคนที่ไม่มีที่มาที่ไป และส่วนใหญ่อ้างว่าไม่เคยซื้อมาจากขบวนการที่ทุจริต แต่พบหลักฐานที่เป็นบิลลอย ซึ่งต้องไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม แต่เบื้องต้น 6 ร้าน จะมีโทษปรับ10,000บาท
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า การจับกุมในครั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้แจ้งเบาะแส นางสาวพัชนีย์ หรือ ก้อย ที่พบเห็นการทุจริตแล้วไม่นิ่งดูดาย ใช้ความรู้และทรัพย์สินส่วนตัวเก็บข้อมูลภาพคลิปหลักฐานทุกอย่าง ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางจะมอบโล่ทำความดีเพื่อสังคมให้
ทั้งนี้ ผู้ต้องหากลุ่มนี้ยังเป็นแค่กลุ่มแรก ยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีแผนประทุษกรรมแบบนี้ เป็นขบวนการใหญ่ ทำกันหลายที่ หลายโรงพยาบาล หลังจากนี้จะต้องไปตามเช็คบิล โดยตอนนี้ตำรวจได้รับข้อมูลจากกรมบัญชีกลางแล้ว กำลังตรวจสอบว่ามีใครเข้าข่ายความผิดอีก และหากใครรู้ตัวว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้รีบเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ถ้าช้าจะถูกออกหมายจับ
ส่วนร้านขายยา แม้จะไม่เจอตัวยา แต่ยังไม่จบ จะมีการขยายผลเช่นกัน พร้อมขอเตือนไปยังหมอทั่วประเทศ ด้วยว่า สำหรับผู้ที่คิดจะลักไก่เอายาออกมานอกระบบ ทีมงาน 4 ป. จะดำเนินการต่อแน่นอน
“หากเอาความรู้ความสามารถมาทุจริตเงินของรัฐ เพื่อเข้ากระเป๋าตัวเอง บาปกรรมจะตกอยู่ที่คุณ”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว
ขณะที่ นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานกลางที่ดูแลค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัว ที่ผ่านมามีการเข้าไปตรวจสอบสถานพยาบาลต่างๆ ว่า มีการเบิกจ่ายยาอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งก็มีการเรียกเงินคืนอยู่บ้าง แต่กรณีเหล่านั้นเกิดจากการเบิกจ่ายที่ใช้เกิน หรือใช้สิทธิผิดประเภท รวมถึงมีบางกรณีที่คนไข้คนเดียวไปเบิกจ่ายยาจากหลายโรงพยาบาลในวันเดียวกัน ก็จะถูกระงับสิทธิและตรวจสอบ
แต่ขบวนการที่จับกุมในวันนี้มีความแตกต่าง คือ มีการตั้งต้นจากตัวแพทย์เอง และมีคนใช้สิทธิมาเป็นลูกข่าย ซึ่งแพทย์หญิงคนนี้มีการสั่งจ่ายยาเป็นจำนวนมากที่สุดในโรงพยาบาล ระหว่างปี 2560-2567 มีมูลค่าการสั่งจ่ายยา 84.7 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 28.72% ของแพทย์ทั้งหมดในโรงพยาบาลประมาณ 100 คน ดังนั้น หลังจากนี้จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการไปไล่ตรวจสอบว่ามีขบวนการที่มีลักษณะเดียวกันนี้ เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง
ขณะที่ พลเอก เดชนิธิศ เหลืองงามขำ ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง ก็เห็นความผิดปกติของงบการเงินของรพ.ทหารผ่านศึก และพบความผิดปกติของกลุ่มคนที่มารับบริการที่มีชื่อซ้ำๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกันที่มีแพทย์เพียงคนเดียวเป็นผู้ตรวจ ในปีงบประมาณ 2567 จึงได้เข้มงวดกับเงื่อนไขการเบิกจ่ายยา ส่งผลให้งบการเงินกลับมาเป็นบวก มีกำไร 70 ล้านบาท จึงขอยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือ ควบคุมระเบียบร่วมกับกรมบัญชีกลาง ไม่ให้เงินภาษีประชาชนรั่วไหลอีก แม้แต่บาทเดียว
นายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า ที่ผ่านมาแผนประทุษกรรมในการทุจริตการเบิกจ่ายยา ส่วนใหญ่จะพบผู้กระทำความผิดไม่เกิน 2 คน คือผู้จ่ายและผู้รับ แต่ครั้งนี้ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น โดยทาง ป.ป.ท. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาต่อไป
ขณะที่ทาง นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการ ปปง. กล่าวว่า หลังจากนี้จะเสนอต่อคณะกรรมการธุรกรรม ให้มีมติมอบหมายในการตรวจสอบเชิงลึกอย่างเร่งด่วน นอกจากการยึดทรัพย์ จะทำการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด โดยเฉพาะของแพทย์หญิงที่สั่งจ่ายยา ซึ่งหากพบว่าเกี่ยวข้องกับข้อหาฟอกเงิน ก็จะต้องดำเนินคดีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ได้นำของกลางที่ตรวจยึดมาได้จากการเข้าตรวจค้นมาแสดง ประกอบด้วย กล่องลังที่ใช้บรรจุยา เงินสดมูลค่า 10.9 ล้านบาท โฉนดที่ดินที่พบในบ้านพัก ซอยแสงจันทร์ เขตคลองเตย กทม. ถุงซิปล็อคใส่ยาที่มีการแกะฉลากชื่อออกแล้ว จำนวนมาก สมุดบัญชี ถุงพลาสติกสีฟ้าที่ใช้บรรจุยาหลังนำมาพัก แล้วส่งต่อไปที่ จ.ปราจีนบุรี และ ยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดหลายกล่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าว น.ส.พัชนีย์ หรือ ก้อย ผู้แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุม และนายธนเดช เพ็งสุข สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน และรองประธาน กมธ.ทหาร ร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย โดยร้องไห้ตลอดเวลา ได้เข้าสวมกอดบิ๊กเต่าด้วยความดีใจ พร้อมพูดเสียงสั่นเครือว่า
”วันนี้พี่ทำได้จริง พี่เอาหลักฐานหนูไปต่อยอด วันนี้ตั้งใจเดินทางมาจาก จ.ลพบุรี อยากมาให้เห็นกับตาตัวเอง ที่ร้องไห้ออกมา เพราะรู้สึกดีใจ วันนี้ตำรวจได้กวาดล้าง และเข้าจับกุมผู้กระทำความผิดได้สำเร็จ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่น ที่ผ่านมาเธออดทนเก็บหลักฐานทั้งหมด ตลอดระยะเวลา 21 เดือน 24 วัน วันนี้ทุกอย่างมันโล่งหัวแล้ว สิ่งที่ตั้งใจทำ ก็แค่อยากทำให้ลูกได้ภูมิใจ”
น.ส.พัชนีย์ กล่าวด้วยว่า การที่ออกมาให้ข้อมูล ไม่ได้สร้างภาพ เพราะไม่รู้ว่าจะสร้างไปทำไม ทำทุกอย่างในฐานะประชาชนคนไทยธรรมดาคนหนึ่ง เห็นอะไรที่ทำไม่ถูกต้อง ก็อยากช่วยประเทศชาติ ไม่ได้อยากเด่น ไม่อยากดัง และไม่ได้เก่งอะไร แต่มั่นใจว่า เธอแค่กล้า กล้าที่จะรวบรวมหลักฐาน อยากจะเปิดโปงความจริง ไม่ได้คิดอย่างอื่น โดยที่ผ่านมาเธอไม่ได้กลัว หรือกังวลอะไร และไม่ได้ถูกข่มขู่คุกคามจากใครด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังการแถลงข่าว น.ส.พัชนีย์ ได้นำดอกไม้มอบให้กับตำรวจชุดทำคดี และหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อเป็นการขอบคุณ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “นับถือน้ำใจ อดีตแม่ทีมที่ได้กลับตัวกลับใจ และได้ช่วยกันเก็บหลักฐานจนมาถึงวันนี้ เธอเองก็เป็นครอบครัวทหาร จึงมองว่าถ้าเราทำผิด เราก็ต้องยอมรับ และถอนตัวออกมาจากสิ่งนั้น”
เช่นเดียวกับ อดีตแม่ทีม ที่หลังจากเขามาบอกความจริงกับเรา เขาก็กลับไปคิด 3-4 เดือน เขาได้นำหลักฐานทั้งหมดมาให้เธอ ตอนแรกเธอก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย จึงได้ปรึกษากับแฟน เพราะสงสัยว่ามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ สิ่งหนึ่งที่เธอตัดสินใจจัดการอย่างเด็ดขาด เธอได้ให้แม่ทีมโทรหา พ.อ.หญิง กัญญารัตน์ แต่พอโทรไป ก็ถูกต่อว่าว่าทำไมเดือนนี้ถึงได้เงินน้อยจัง จึงมีความรู้สึกว่าทนไม่ได้แล้ว อีกทั้งมีข้อมูลในมือถืออีกหลายอย่าง จึงได้รวบรวมหลักฐาน และไปตามดู ก็เลยไปที่รัฐสภา ที่พึ่งเดียว และเป็นปากเป็นเสียงแทนเราได้
จนยาวมาจนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ข่าวออก Twitter จนเธอได้มาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และได้มาเจอ “บิ๊กเต่า” ที่ลูกเรียกว่าลุงเต่าเทอร์โบ จึงได้เอาหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมมา ส่งมอบให้กับท่าน วันนี้รู้สึกตื้นตันใจว่ามีข้าราชการที่ตอบสนองการเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมือนที่เธอเห็น เธอยืนยันไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง
นอกจากนี้ วันนี้ยังชัดเจนว่าเธอทำได้ ทำให้ลูกเห็น และขออยากให้ญาติพี่น้องของผู้กระทำผิด ให้ยอมรับในสิ่งที่ญาติตัวเองทำ และตักเตือนดีกว่ามารังควานอดีจแม่ทีม หรือครอบครัวก้อย