สนามเลือกตั้ง "นายกอบจ.อุดรธานี" ภายหลังสองพรรค คือ เพื่อไทย เเละ "พรรคประชาชน" นำเเกนนำพรรคเเเละผู้ช่วยหาเสียงระดับตัวท็อป เช่น "ทักษิณ ชินวัตร" , "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เปิดเวทีหาแต้มและสาดสงครามน้ำลายใส่กัน ก็มาได้ข้อสรุป เมื่อวานนี้( 24 พฤศจิกายน 2567 ) แล้วว่า "เพื่อไทย" คุมเกมได้เหนือกว่า "พรรคประชาชน"
โดย"ศราวุธ เพชรพนมพร" จากพรรคเพื่อไทย เอาชนะ "คณิศร ขุริรัง" จากพรรคประชาชน คว้าเก้าอี้ "นายกอบจ. อุดรธานี" ที่ว่ากันว่า นี่คือสงครามตัวแทนบนถิ่นเมืองหลวงเสื้อแดง เป็นการยกทัพกรำชัย ปลุกขวัญสู่สมรภูมิอื่นในวันข้างหน้า
ผลจากการนับคะแนน 100 เปอร์เซนต์ "ศราวุธ เพชรพนมพร" จากพรรคเพื่อไทย ได้ 327,487 คะแนน ขณะที่ "คณิศร ขุริรัง" จากพรรคประชาชนได้ 268,675 คะแนน หรือห่างกันเกือบหกหมื่นคะแนน ( 58,812 )
ซึ่งผลต่างของคะแนนดังกล่าว ต่างฝ่ายต่างออกมาเคลม โดยเฉพาะ ฝ่ายพรรคประชาชน ที่ตีความ ผลต่างของคะแนนที่ยังอยู่แค่หลักหมื่น ไม่ไปถึงหลักแสน แสดงว่า พรรคประชาชนยังเป็นที่นิยมของชาวอีสาน ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
จึงไม่แปลกที่ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล จะออกมาโพสต์ข้อความปลุกขวัญทันควันด้วยข้อความ ในทำนองว่า "เป็นการ "แพ้แต่พัฒนา" ช่องว่างคะแนนดีกว่าตอนพรรคก้าวไกลเสียอีก"
ทั้งนี้ ในการ "เลือกตั้งสส.อุดร" เมื่อปี 2566 "พรรคเพื่อไทย" กวาดสส.ระบบเขตไปได้ 7 ที่นั่ง "พรรคไทยสร้างไทย" 2 ที่นั่ง พรรคก้าวไกล 1 ที่นั่ง โดยคะแนนแบบบัญชีรายชื่อ เพื่อไทยได้คะแนน 353,147 คะแนน ขณะที่พรรคก้าวไกล(ในขณะนั้น) มาเป็นอันดับสองได้ 295,097 คะแนน หรือ "ห่างกัน 58,050 คะแนน" ซึ่งตรงนี้หรือไม่ ที่ทำให้ "พิธา" พยายามหาคำอธิบายปลอบประโลมใจ ว่า นี่เป็นการ "แพ้แต่พัฒนา"
อีกอย่างคะแนนเลือกตั้ง "นายกอบจ.อุดร "ของสองพรรคไม่ห่างไปถึงระดับ"แสนคะแนน" ก็อีกเช่นกันที่ "พิธา" จะออกมาวิเคราะห์ได้ว่า "พรรคประชาชน ยังไม่แพ้ราบคาบ"
"สนามเลือกตั้งท้องถิ่น" คือ เวทีประลองศึกยกแรก
แม้เราทราบดีว่า นี่คือการเลือกตั้งสนามท้องถิ่น ที่ควรขับเนันภาพของตัวผู้สมัคร ที่ลงชิงชัยแข่งขันให้โดดเด่น เพราะมีบทบาทโดยตรงในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชนระดับท้องถิ่นของจังหวัด
แต่ในช่วงการหาเสียงที่ผ่านมา เเทบไม่มีพื้นที่ข่าวของผู้สมัครทั้งสองพรรคให้ได้ยินเลยว่า หากชนะเลือกตั้ง วิสัยทัศน์ที่ขายฝันว่าสี่ปีข้างหน้าชาวบ้านจะมีชีวิตดีขึ้นเช่นใดบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามเลือกตั้งนายกอบจ.คราวนี้ ยิ่งมีความชัดเจนว่า"พรรคสีเเดง"เเละ"พรรคสีส้ม"ซัดกันเเย่งพื้นที่เเบบไม่มีเหนียม บ่งบอกถึงการสะบัดไมตรีแก่กัน
ล่าสุด แม้ศึกเลือกตั้งนายกอบจ.อุดร เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ควันหลงยังคงมีอยู่ เมื่อ ว่าที่นายกอบจ.อุดรฯ จากเพื่อไทย "ศราวุธ เพชรพนมพร" เตรียมแจ้งความดำเนินคดี "ชัยธวัช ตุลาธน" อดีตเลขาธิการพรรคก้าวไกล ที่ขึ้นปราศรัย พาดพิงภรรยานายศราวุธ มีเอี่ยวกับทุนสีเทา
แม้มองว่า นี่อาจเป็นเรื่องปกป้องชื่อเสียงถูกพาดพิงในทางเสียหาย หรือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ระหว่าง "ศราวุธ" กับ "ชัยธวัช" บ้าง หากแต่ การปะทะศึกของสองพรรคเริ่มไม่ลงรอยกันมาเป็นระยะแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่"ทักษิณ" ลงพื้นที่ปราศรัยที่อุดรธานี
เหมือนกับที่ "ติ่ง" ศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน หรือแม้แต่ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ขุนพลฝีปากพรรคเพื่อไทย เคยออกมายอมรับผ่าน"เนชั่นทีวี" ว่า "โอกาสที่เพื่อไทยกับพรรคประชาชนจะร่วมเป็นรัฐบาลในวาระที่เหลือนี้เลิกพูด เลิกคิดกันไปได้เลย ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด"
จากรูปการนี้ ดูจะลากยาวไปถึงคราวหน้าและคราวต่อๆไปเสียด้วยซ้ำ
สองพรรคนี้น่าจะปะทะกันอีกหลายสนามใน 12 เวทีที่พรรคสีส้มเวอร์ชั่นสาม เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.ไปเเล้ว เเละจะวัดเรตติ้งกลายๆว่า ใครจะชนะในสนามใหญ่คือเวทีสส.
อย่างเร็ว เห็นจะเป็นสนามเลือกตั้ง " นายก อบจ. อุบลราชธานี " ในวันที่ 22 ธันวาคม ตามที่พรรคประชาชน โพสต์ข้อความ "ขอบคุณทุกเสียงของชาวอุดรในวันนี้และพบกันใหม่เร็วๆนี้ที่การเลือกตั้งนายกอบจ.อุบล นั่นเอง"
คงต้องติดตามว่า หลังเปิดสมัยประชุมรัฐสภาในช่วงเดือนธันวาคม ฝ่ายค้านจะเสนอ "ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม." เช่นใด
เนื่องจากตำบลกระสุนตกนั้น "พรรคร่วมรัฐบาล"เกือบทั้งหมดมีเเผลเรียงราย เเละเป้าหลักคือ"สร.1" ที่หาเสียงไม่ตรงปกน่าจะโดนถล่มหนักสุด เเม้พี่เลี้ยงเเละมือประท้วงทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายกฯก็ตาม
สถานการณ์ทางการเมืองหนักๆที่รออยู่ข้างหน้า กำลังชักพา สองพรรคการเมืองสำคัญ ที่เคยคิดจูงมือเข้าประตูวิวาห์ แต่สุดท้ายต้องมาสะบัดมือหันหลังแยกทาง
เปิดเกมห้ำหั่น กลายเป็นคู่รักในรอยแค้น ที่ไม่รู้ว่าบทสุดท้ายจะจบลงแบบไหนอย่างไร
หรือแม้แต่ฉากจบละครการเมืองที่ควรต้องมีคำว่า"แฮปปี้เอ็นดิ้ง" ก็คงเกิดขึ้นได้กับพรรคใดพรรคหนึ่ง
"แต่ยากจะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองพรรค"