30 กรกฎาคม 2567 นายธวัชชัย ไทยเขียว กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ในฐานะรองโฆษก ก.พ.ค.ตร. ได้โพสต์ข้อความเปิดเผย บรรยากาศการประชุม ก.พ.ค.ตร. วันนี้ ว่า
วันนี้ เวลา 13.30 น. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) นัดประชุมพิจารณาสำนวนอุทธรณ์จำนวน 2 สำนวน นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ ประธาน ก.พ.ค.ตร. ได้เรียกประชุม ก.พ.ค.ตร. โดยมีกรรมการเข้าร่วมประชุมครบทุกท่าน
#สำนวนแรก เป็นสำนวนอุทธรณ์คำสั่งไล่ออกจากราชการ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์ยื่นคำแถลงเป็นหนังสือและแถลงด้วยวาจา ต่อ ก.พ.ค.ตร. และ ก.พ.ค.ตร. มีมติเห็นชอบตามที่กรรมการเจ้าของสำนวนเสนอ
#สำนวนที่สอง สำนวนอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระหว่างพลตำรวจเอก สุรเชชษฐ์ หักพาล กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
โดยสำนวนนี้ มีกรรมการเข้าร่วมประชุมครบทุกท่าน ยกเว้น พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เพียงท่านเดียวที่เห็นว่า ตนเองมีกรณีอันอาจถูกคัดค้านได้ตามข้อ 34 ของกฎ ก.พ.ค.ตร. ฯ ที่ได้ประสงค์ขอถอนตัวเองออกจากการพิจารณาวินิจฉัยฯ และที่ประชุม ก.พ.ค.ตร. ได้มีมติให้งดการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้
ก.พ.ค.ตร. ได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีทั้งสองฝ่าย คือ พลตำรวจเอก สุรเชชษฐ์ หักพาล ผู้อุทธรณ์ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คู่กรณีในอุทธรณ์ ที่มอบหมายให้ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทน
โดยที่แต่ละฝ่ายได้มีความประสงค์ที่จะยื่นคำแถลงเป็นหนังสือและแถลงด้วยวาจาต่อ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งคำแถลงที่เป็นหนังสือและคำแถลงด้วยวาจาของแต่ละฝ่ายนั้น จะยกข้อเท็จจริงที่มิเคยได้ยกขึ้นอ้างไว้แล้วไม่ได้ เว้นแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นสำคัญ ที่คู่กรณีสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีเหตุจำเป็นหรือพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ไม่อาจเสนอต่อ ก.พ.ค.ตร. หรือกรรมการเจ้าของสำนวนก่อนหน้านั้นได้ และ ก.พ.ค.ตร. จะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ได้ก็ต่อเมื่อได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีอีกฝ่ายได้แสดงพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงหักล้างแล้วเป็นสำคัญด้วยเช่นกัน
โดยประธานฯ ได้ให้ผู้อุทธรณ์เป็นผู้แถลงก่อน และตามมาด้วยคู่กรณีแถลงต่อในลำดับถัดมา โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 13.50. – 16.35 น.
พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
หลังจากนั้น คู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในบันทึกรายงานบวนการพิจารณาในการแถลงดังกล่า
ก.พ.ค.ตร. ได้นำคำแถลงที่เป็นหนังสือและการแถลงด้วยวาจาดังกล่าวทั้งหมด ไปประชุมพิจารณาต่อเนื่อง ร่วมกับคำอุทธรณ์ คำแก้อุทธรณ์ คำชี้แจง และพยานหลักฐานอื่นที่ ก.พ.ค.ตร. ได้มาจากการแสวงหาข้อเท็จจริงไว้ก่อนหน้านี้แล้วต่อจนถึง 18.30 น. แต่ไม่แล้วเสร็จ จึงได้มีมติให้นำไปพิจารณาต่อเนื่องในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม เวลา 13.30 น.
หลังจากนั้น ก.พ.ค.ตร. จะมีการจัดทำคำวินิจฉัยเป็นหนังสือโดยเร็ว และจะสามารถเปิดเผยอย่างเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อ ก.พ.ค.ตร. ได้จัดส่งคำวินิจฉัยไปให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายทราบตามที่อยู่ที่คู่กรณีแต่ละฝ่ายได้แจ้งไว้ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นไปตามกฎ ก.พ.ค.ตร. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. 2567 และกฎ ก.พ.ค.ตร. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. 2567
ด้วยผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ จึงขออนุญาตไม่แถลงหรือให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม โดยทุกท่านสามารถอ่านจากคำวินิจฉัยที่ได้เปิดเผยที่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวแล้วข้างต้นในโอกาสต่อไป
แหล่งข่าวจาก สตช. เปิดเผยบรรยากาศในการชี้แจงด้วยวาจาของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร.ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.ตร.) ตลอด 2 ชั่วโมง ตอนหนึ่ง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ กล่าวว่า ตนรับว่า ได้พบ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. คู่กรณี แต่ไม่ได้มีการไหว้ทักทาย พูดคุยหรือสบตากัน เนื่องจากต่างคนต่างชี้แจง ส่วนทางคณะกรรมการไม่มีข้อซักถามเพิ่มเติม เนื่องจากมีหน้าที่รับฟังเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยอมรับว่า ตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมารู้สึกคิดถึง ตร. แต่ส่วนตัวยังไม่มั่นใจว่า จะได้กลับหรือไม่ ตอนนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องจะได้กลับหรือไม่เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นยังไม่คิดถึง โดยเฉพาะเรื่องที่มีโหรทำนายว่า ในช่วงเดือนสิงหาคมจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ และมีกระแสข่าวว่าตนเองจะได้เป็นรัฐมนตรีคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ก็ยังไม่ทราบข่าว
เช่นเดียวกับกรณีการเปลี่ยนชื่อ โดยการเพิ่ม ช.ช้างเข้าไปอีกตัว ก็เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องจากอาจารย์ท่านนี้เคยทักตนเองไว้นานแล้วตั้งแต่ตอนที่ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เพียงแต่ตอนนั้นตนเองไม่มีโอกาส ส่วนชื่อและความหมายยังคงเหมือนเดิม
พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.