svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวทั่วไทย

เปิดใจ "ปุ๊กกี้" ถอนตัวจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง

เปิดใจ "ปุ๊กกี้ เป็นหนึ่ง" ถอนตัวจากมูลนิธิ เปิดฉากแฉสอนฮั้วประมูล พบข้อมูลเข้าข่ายซื้อขายวุฒิการศึกษา​ ยอมรับเมื่อก่อนเคยอยากมีแสง อยากดัง เพื่อต่อยอดธุรกิจ ใครเตือนก็ไม่เชื่อ

วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.2567) เวลา 15.00 น.​  ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม​ในสังคม​ น.ส.เอ​ (นามสมมุติ)​ พร้อมด้วย​ “ปุ๊กกี้” อดีตสมาชิกมูลนิธิเป็นหนึ่ง ที่ลาออกเมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา​ ได้เดินทางมาที่มูลนิธิฯ เพื่อขอคำแนะนำจากทนายความ​ และ​แถลงความจริงต่อสื่อมวลชน​ 

ปุ๊กกี้ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิเป็นหนึ่ง เพราะอยากเป็นบุคคลมีชื่อเสียง มีแสง เพื่อที่จะต่อยอดในการทำธุรกิจ แต่ต้องเป็นธุรกิจที่สุจริต และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผู้ใหญ่คอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่าไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลคนนี้ คือ นางสาว ​อ.​

แต่ยอมรับว่าตนไม่เชื่อ เพราะไม่เคยเจอกับตัว​ และคอยปกป้องรักน้องมาโดยตลอด อีกทั้ง มอบเงิน จำนวน 100,000 บาท เพื่อจัดตั้งมูลนิธิ ยอมรับว่าเป็นการให้โดยเสน่หา​ แม้จะไม่ได้เป็นประธานมูลนิธิ หรือไม่ค่อยได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมากนัก เพราะจะมีแต่เขาคนเดียวที่จะคอยออกหน้า ก็ยืนยันว่าที่ออกจากมูลนิธิ ไม่ใช่เรื่องนี้ 

แต่เหตุผลที่จำเป็นต้องออก เพราะได้เจอมากับตัวเอง เมื่อเขาสอนให้เราทำสิ่งที่ไม่สุจริต คือเสนอให้ "ฮั้วประมูล" โครงรัฐ เนื่องจากสามีของตนมีคอนเน็กชันเกี่ยวกับการรับเหมา และคิดว่าหากทำแล้วต้องส่งผลกระทบต่อครอบครัว โดยเฉพาะตัวสามี และยังต้องแบ่งสรรปันส่วนว่าใครจะได้เปอร์เซ็นต์บ้าง​ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่หลายๆคนพูดเป็นความจริง จึงพาตัวเองออกมาจากมูลนิธิ 

ส่วนประเด็นการซื้อ "วุฒิการศึกษา" ยอมรับว่าได้ยินเรื่องนี้จากปากของน้อง​ อ.​เอง​ ตอนที่เขาบอกว่าจะซื้อให้สามี ในราคา 150,000 บาท​ และยังทราบว่า เขาเองได้มีการ ซื้อขายวุฒิ ให้บุคคลอื่นอีก​ ซึ่งเรื่องนี้ตนก็มีคลิปเสียงระหว่าง "ซ้อลักษณ์" และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยดัง ที่พูดถึงการซื้อขายวุฒิปริญญากันด้วย"

อยากฝากถึงคนที่อยู่รอบตัวของ​น้อง ​(อ.)​ อย่างเช่นทนายชื่อดัง​ และพิธีกรชื่อดัง ว่าตนเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมาแล้ว ขอให้ทุกคนถอยออกมา​ อย่าช่วยคนทำผิด​ เพราะตนเองก็ยังรู้สึกผิดกับผู้เสียหายที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะก่อนหน้านี้ ก็เคยเป็น back ให้เขาช่วยเหลือเขา ทั้งที่มีผู้เสียหายมาร้องเรื่องโกงแชร์​ด้วยเหมือนกัน​ ดังนั้นจึงขอให้ตัวน้อง อ. ยุติบทบาท​ของมูลนิธิดังกล่าว​ แล้วเคลียร์ปัญหาให้จบก่อนที่จะไปช่วยเหลือสังคม​ เพราะตัวคุณยังไม่ดีพอที่จะทำดีเลย

ด้าน น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย ที่ถูกชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์และปล่อยกู้ กล่าวว่า ตนรู้จักกับ ผู้ที่ตกเป็นข่าว จากน้องสาวของตนเมื่อช่วงปลายปี 2560 ก่อนจะถูกชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์ วงละ 100,000 บาท  จำนวน 40 คน ส่งเงินสัปดาห์ละ 2,200 บาท

หลังร่วมเล่นแชร์ไปแล้วครั้งแรกก็ได้เงินพร้อมกำไรครบ หลังจากนั้นเขาก็ชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์อีกหลายวง และให้ร่วมลงเงินปล่อยเงินกู้แจกดอกที่เขาตั้งขึ้นมา ซึ่งตนหลงเชื่อด้วยหน้าที่การงานและฐานะทางสังคมจึงลงเงินไป 488,000 บาท

กระทั่งปลายปี 2561 เขาเริ่มไม่จ่ายเงินคืนตามที่ตกลงไว้ พอตนทวงถามไป เขาก็บ่ายเบี่ยง อ้างว่าตัวเขาเองกำลังจะลงเล่นการเมือง แล้วจะได้เงินสนับสนุนกว่า 10 ล้านบาท จากนั้นจะนำเงินมาคืนให้พร้อมดอกเบี้ย จนผ่านมาหลายปีก็ไม่เคยได้เงินคืน 

ต่อมา ตนพร้อมผู้เสียหายร่วมกว่า 10 คน ได้เข้าไปเจรจากับเขาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาบอกให้เอาเลขบัญชีทุกคนมาแล้วจะทยอยคืนเงินให้ แต่พอถึงเวลากับได้เงินโอนคืนมาแค่คนละ 200-300 บาท ตนจึงเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ที่ สภ.สามพราน เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2567 หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ตนจึงเกรงว่าตอนนี้เขามีชื่อเสียง รู้จักคนใหญ่คนโต กลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาร้องขอให้ทางมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม​ในสังคมช่วยเหลือ