มุน ฮยอง แบ รักษาการประธานศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำพิพากษาที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ในวันศุกร์ (4 เมษายน) ว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 8 คนมีมติด้วยเสียงเอกฉันท์เห็นชอบตามมติของรัฐสภาที่ถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอก ยอล ออกจากตำแหน่งโดยให้มีผลบังคับทันที โดยนายยุนไม่ได้ขึ้นศาลเพื่อรับฟังคำตัดสิน
คำตัดสินมีขึ้น 111 วัน หลังจากรัฐสภาลงมติถอดถอนประธานาธิบดียุนเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ด้วยข้อกล่าวหาก่อกบฏ สืบเนื่องจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ที่มีการส่งทหารเข้าไปในรัฐสภาเพื่อยับยั้งไม่ให้สมาชิกรัฐสภาลงมติยกเลิกประกาศกฎอัยการศึก และสั่งจับกุมสมาชิกรัฐสภา การกระทำของนายยุนจุดวิกฤตการเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดของประเทศในรอบหลายสิบปี
รักษาการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า นายยุละเมิดหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีจากการกระทำที่เกินขอบเขตอำนาจที่ได้รับภายใต้รัฐธรรมนูญ และทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนอย่างร้ายแรง การประกาศกฎอัยการศึกของเขาได้สร้างความโกลาหลทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการทูต
การถอดถอนประธานาธิบดีครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินถอดถอนประธานาธิบดีปัก กึน เฮ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 และการพ้นตำแหน่งของนายยุนจะทำให้ต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ภายใน 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 3 มิถุนายน
พรรคพลังประชาชน ที่เป็นพรรครัฐบาล แสดงท่าทีน้อมรับคำตัดสินของศาล และพรรคประชาธิปไตย ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก บอกว่า คำตัดสินของศาลเป็นชัยชนะของประชาชน
คำตัดสินของศาลสร้างความสุขและความยินดีแก่กลุ่มผู้ต่อต้านนายยุน ที่ส่งเสียงเชียร์และสวมกอดด้วยความดีใจพร้อมทั้งน้ำตา ตรงกันข้ามกับบรรยากาศความเศร้าและความผิดหวังของกลุ่มผู้ต่อต้านที่ร่ำไห้ ขณะทั้งสองกลุ่มรวมตัวบนท้องถนนและเฝ้าดูการถ่ายทอดสดคำตัดสิน โดยมีตำรวจเฝ้ารักษาความปลอดภัย
นายยุน วัย 64 ปี ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีอาญาจากกรณีประกาศกฎอัยการศึก เพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำเมื่อวันที่ 8 มีนาคม หลังศาลแขวงกลางกรุงโซลสั่งเพิกถอนหมายจับในวันที่ 7 มีนาคม เขาถูกจับกุมเมื่อวันที่ 15 มกราคม และกลายเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนแรกที่ถูกจับกุมขณะยังดำรงตำแหน่ง