วันที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 10.30 น. ที่ศูนย์รับแจ้งความตำรวจสอบกลาง นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือ “เคนโด้” เปิดเผยถึงกรณีที่ ทนายความของ “บอสพอล” ออกมาระบุถึงบุคคลที่อยากให้ดำเนินการอีก 3 คน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ พิธีกร อักษรย่อ ค. ซึ่งเคยเป็นพรีเซนเตอร์ก่อน นายกันต์ กันตถาวร โดยตอนนี้กำลังดูสัญญาของ ค. อยู่ เนื่องจากได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเหมือน “บอสกันต์” แต่กลับออกมาแฉในหลายรายการว่า บริษัททำไม่ถูกต้อง
“เคนโด้” บอกว่า ตนเองไม่แปลกใจที่โดนพาดพิงมา เพราะตนเองอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับ “บอสพอล” มาตั้งแต่ต้น เพราะพาผู้เสียหายมาแจ้งความ มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท และเมื่อ 2 วันก่อน คือวันจันทร์ที่ผ่านมา ตนเองได้มาให้การกับตำรวจแล้ว นานกว่า 5-6 ชั่วโมง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ โดยเป็นการมาให้ปากคำเพราะต้องการมาให้ประกอบกับตำรวจประสานงานไปด้วย
และบอกเลยว่า ตนเองเป็นพยานปากเอกของคดีนี้ เพราะมีข้อมูลหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อคดี และคนที่เดือดร้อน ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของ ดิไอคอนกรุ๊ป ถ้าตนเองเกี่ยวข้อง ต้องโดนตำรวจรวบไปแล้ว คงมายืนตรงนี้ไม่ได้
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ตนเองเคยร่วมงานกับ ดิไอคอนกรุ๊ป จริง โดยภาพที่เกิดขึ้นเป็นปีแรกๆของดิไอคอน คือช่วงปี 2562-2564 ที่ยังไม่เกิดความเสียหายขึ้น ตอนนั้น บอสพอล ติดต่อให้ตนเองเข้าไปเป็นที่ปรึกษา ช่วยถอดบทเรียนจากเมจิกสกิน ที่ตนเองเป็นคนออกมาแฉว่า ต้องทำธุรกิจแบบนี้ยังไง มีกระบวนการอย่างไรให้มันถูกต้อง และเมื่อเขาทำไม่ถูกต้องตนเองก็ไม่อยู่ และออกมาตั้งแต่ 4 ปี ที่แล้ว ซึ่งภาพที่ถูกนำมาเผยแพร่ ก็เป็นภาพเก่ามากแล้ว
และการที่ตนเองมีภาพกับบอส คงไม่ได้ผิด แต่ต้องไปดูบริบทด้วยว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เจตนาของตนเองไปเพื่อความถูกต้อง ไม่ได้ไปพูดเพื่อช่วยบริษัทหลอกคน และเมื่อพบความผิดปกติ ตนเองก็ออกมาตั้งแต่มิถุนายน 2564 โดยส่งข้อความไลน์ไปบอก บอสพอล ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ได้ให้ตำรวจและอยู่ในสำนวนทั้งหมดแล้ว
ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง ถ้าถามว่าทำงานร่วมกับเขาไหม เป็นการทำงานในช่วงแรกที่ยังไม่มีปัญหา ซึ่งกรณีของตนเองก็ไม่ต่างจากคุณธเนตร วงษา ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นบิดาแชร์ลูกโซ่ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
"ทั้งนี้ ตนเองจะขอชี้แจงกับสื่อมวลชนแค่ครั้งเดียว และจะไม่ชี้แจงอีกแล้ว"
เมื่อถามว่า ความไม่ถูกต้องที่ทำให้ เคนโด้ ตัดสินใจออกจากบริษัท ดิไอคอน ฯ ที่เห็นนั้นคืออะไร “เคนโด้” ตอบว่า
"ตอนนั้นเขาไม่ให้ตัวแทนสต็อกสินค้ามากจนเกินไป และมีการจัดประชุมสัมมนาในช่วงโควิด ซึ่งโควิดมาเขายังจัดประชุมสัมมนา ทำให้คนติดโควิดเต็มไปหมด และเขายืนยันจะจัดคาราวานรถหรูไปเขาใหญ่ ซึ่งตอนนั้นคนกำลังติดโควิดกัน มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้ตนเองตัดสินใจยุติบทบาทและยุติทันที เพราะรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น"
ทั้งนี้ ตนเองก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้ามีการอวดรวยเมื่อไหร่ ธุรกิจจะพังแน่นอน แล้วเราก็ออกมาในจุดที่ไม่หวนกลับไปอีกเลย
ซึ่งหลังจากออกมา ตนเองก็เห็นลักษณะของการระดมทุนคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ ซึ่งตนเองได้ให้ข้อมูลตำรวจไปแล้ว และไม่สามารถอธิบายกับสื่อมวลชนได้ เพราะจะเป็นข้อมูลที่เป็นรายละเอียดในสำนวน และพุ่งเป้าไปที่คีย์สำคัญในการคลี่คลายคดี
พร้อมย้ำว่า ที่ตนเองถูกใบสั่งให้ดำเนินคดี คงเพราะ บอสพอล คงโกรธตนเอง เพราะตนเองมาอยู่ในฝั่งผู้เสียหาย
“และวันที่บอสพอลโดนจับ ก่อนถูกจับ เขาส่งข้อความมาหาผมรัวๆ ทั้งที่ไม่เคยคุยกันมา 4 ปี แล้ว แล้วยกเลิกไป ซึ่งรูปสุดท้ายที่เขาส่งมา คือรูปหัวใจสีแดง เขาคงนึกได้ในสิ่งที่ผมเคยเตือนไปแล้วว่าจะโดนแบบนี้ แต่ตอนนั้นเขาไม่เชื่อ”
นอกจากนี้ เคนโด้ ยังบอกอีกว่า ตอนทำงาน ดิไอคอน อยู่ในตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความถูกต้อง ส่วนเรื่องรายได้ที่ตนเองได้รับจากบริษัทดิไอคอน เริ่มต้นตอนปี 2562 และได้เป็นเงินเดือนธรรมดา ซึ่งน้อยกว่าเงินเดือนผู้ประกาศข่าวที่ตนเองได้คือน้อยกว่า 300,000 บาท ยืนยันว่าไม่เคยได้รับเงินเป็นหลักล้าน และไม่รู้ว่าคุณกันต์ กันตถาวร ได้เงินยังไง
แต่หากไปดูงบดุลของบริษัทตอนที่ตนเองออกมายังมียอดขายต่ำ แต่พอตนเองออกมาแล้ว ยอดขึ้นไปเป็นหลักหลายร้อยล้าน พันล้าน หากตนเองต้องการผลประโยชน์จะออกมาทำไม ยืนยัน ไม่มีสัญญาการเป็นพรีเซนเตอร์ รายละเอียดเรื่องรายได้ที่ตนเองได้รับปีกว่าๆนั้น ก็ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้วเช่นกัน
พร้อมกันนี้ เคนโด้ ยังมองอีกว่า การที่ทนายความของ บอสพอล ออกมาแถลงข่าวว่า จะเด็ดหัวคนนั้นคนนี้ ตนเองมองว่าเรื่องนี้ผิดปกติ และสื่อมวลชนต้องตั้งสติ อย่าตกเป็นเครื่องมือของเขา เพราะไม่มีทนายคนไหนในประเทศไทยออกมาพูดแบบนี้ ซึ่งลักษณะนี้จะเป็นการเข้าข้อกฎหมายอาญามาตรา 392
ดังนั้น ตนเองเปิดหน้าชกสู้กับความอยุติธรรมมาตลอด แต่ถ้า ดิไอคอน ต้องการเปิดหน้าชกกับ เคนโด้ เรามาใช้กฎหมายสู้กันไม่ใช่กฎหมู่ และการเปิดเผยชื่อตนเอง ทำให้ตนเองเสียหาย ดังนั้นทุกความเสียหายตนเองขอคิดเป็นเงินทั้งหมด และคนเปิดก่อนไม่ได้ชนะเสมอไป
อย่างไรก็ตาม การมาเปิดเผยข้อมูลนี้ ทำให้ตนเองเกิดความเสียหายในการช่วยเหลือประชาชนด้วย แต่ในสัปดาห์หน้า ก็ยังเดินหน้าช่วยเหลือประชนชนต่อ โดยตนเองจะมาเปิดวงแชร์ลูกโซ่อีกวง ที่มีผู้เสียหาย 8,000 กว่าคน มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท และวงนี้มีคนเสียชีวิต มากกว่า10คน จึงจะพามาร้องเรียนกับตำรวจ