เปิดใจ “บิ๊กโจ๊ก” ตำรวจ 9 ชีวิต ผงาดฟาดกลับไม่ไว้หน้า

25 มิถุนายน 2567 เมื่อเวลา 15.15 น. "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมานั่งพูดคุยกับ "วราวิทย์ ฉิมมณี" ผู้ดำเนินรายการ "คมชัดลึก" ทางสถานีโทรทัศน์ "เนชั่นทีวี" ช่อง 22 ในปมร้อน เปิดหน้าสู้ กรุยทางกลับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. ฟ้องป.ป.ช. เอาคืน บิ๊กต่าย ผิด 157

วราวิทย์ ถามถึงการออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ทำไมจึงลุยหนัก ซึ่ง "บิ๊กโจ๊ก" บอกว่า วันนี้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยากให้มีความปรองดอง ซึ่งเป็นไปได้ง่ายมาก เพียงแค่หัวหน้าหน่วยงาน คือ ผบ.ตร. ต้องคือความเป็นธรรมให้ทุกคน เพื่อไม่ต้องไม่สร้างความหนักใจให้กับนายกฯ 

ทั้งนี้กฤษฎีกามีมติ 10 ต่อ 0 กรณีให้ออกจากราชการ ถือว่ามีน้ำหนักมาก ไม่เคยปรากฎบ่อยนักที่จะมีมติเสียงข้างมากโดยไม่มีเสียงคัดค้าน ซึ่งนายกฯ ทราบดี แต่ยังไม่กล้าสั่งการว่าต้องแก้ไขคำสั่ง ส่วน รักษาการ ผบ.ตร. ก็กลับไม่ทำอะไร ซึ่งการตั้งกรรมการสอบสวนและสั่งให้ออกจากราชการในวันเดียวกันไม่เคยมีใครทำกัน

"ตามหลักการ การตั้งกรรมการสอบสวน ต้องมีการสืบสวนก่อนว่าผิดจริงไหม ร้ายแรงหรือเปล่า จากนั้นจึงมาตั้งคณะกรรมกาารวินัยร้ายแรง แล้วต้องมีความเห็นของคณะกรรมการ ว่าเห็นควรดำเนินการอย่างไร นี่กลับข้ามขั้นตอน ตั้งกรรมการแล้วให้ออกจากราชการเลย เป็นการกระทำที่รอนสิทธิ์ผม"

บิ๊กโจ๊ก ย้ำว่า พรบ.ตำรวจแห่งชาติปี 2565 มีการป้องกันตำรวจถูกลั่นแกล้งมากขึ้น การให้ออกจากราชการทำได้ใน 3 ประเด็น คือ ต้องคดีอาญา ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และถูกฟ้องในคดีอาญา ซึ่งในกรณีของตนเองนั้นไม่เข้าข่ายทั้ง 3 ข้อ เป็นเรื่องที่อ่านกฎหมายไม่ครบ มีเจตนาแอบแฝง โดยเฉพาะในประเด็นการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในอนาคต 

นอกจากนี้ การให้ออกจากราชการดังกล่าว ยังเข้าข่ายผิด ม.64 ซึ่ง พรบ.ตำรวจฯ ระบุว่า ผบ.ตร. จะต้องกำหนดและมอบหมายหน้าที่การให้กับ รอง ผบ.ตร. ดังนั้นการที่ตนเองถูกสั่งให้ออกจากราชการอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่ได้รับมอบหมายงาน ถือว่าเป็นการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่งผลให้ไม่มีผลงานในการการประเมินผลงานประจำปี

เปิดประเด็นดีลลับ มีอะไรบ้าง?
วราวิทย์ เปิดประเด็นถึง "ดีลลับ" ในการกลับไปดำรงตำแหน่ง "รอง ผบ.ตร." หลังจากที่ นายกเศรษฐา มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กลับไปทำหน้าที่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. ว่า จริงๆแล้วผู้หลักผู้ใหญในบ้านเมืองอยากให้ทุกคนได้กลับไปหมด แต่แต่ที่ทราบ รักษาราชการ ผบ.ตร. ไม่ยอมเพิกถอนคำสั่ง ดังนั้นผมก็ต้องสู้ ต่างคนต่างไม่ยอมกัน ผมตบมือข้างเดียวไม่ได้ จริงๆแล้วดีลคือ อยากเห็นความสมานฉันท์

ขณะที่ดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นั้น บ๊กโจ๊ก บอกว่า ไม่มีดีล หรือคุยอะไรกันเลย ไม่มีคุยกับว่าไปลงนามให้ผมกลับไป ไม่มีประเด็นในเรื่องนี้เลย ดังนั้นจึงต้องออกมาหาความเป็นธรรมให้ตัวเอง เดินหน้าสู้กันไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ต้นเหตุจากที่นายกฯส่งกลับไป สตช. นายกฯก็ต้องแก้ไขให้ตนเอง จะเป็นการสั่งการด้วยวาจา หรือลายลักษณ์อักษรไปถึง ผบ.ตร. เพื่อทำให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะย้อนกลับไปถึงตัวท่านนายกฯ อาจจะต้องใช้สิทธิฟ้องนายกฯต่อไป

"ผู้ใหญ่หลายท่านก็เตือนว่าไม่อยากให้ฟ้องนายกฯ ผมเข้าใจว่าท่านไม่รู้เรื่อง ท่านโดนหลอก ซึ่งท่านก็ต้องแก้ไขให้ผมที่เป็นลูกน้อง เรียกฝ่ายกฎหมายมาดู มาสั่งการให้ถูกต้อง ไม่ใช่เตะกันไปเตะกันมาแบบนั้น อยากให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ ไม่ใช่ลอยตัว"

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงการไล่ฟ้อง เปิดแนวรบในขณะนี้ ว่า จริงๆแล้วตนเองเป็นฝ่ายถูกรุม ตลอด 7-8 เดือน หลายคนที่ตัวเป็นกูรู พูดหมิ่นประมาทตน ซ้ำยังไม่สำนึกอีก มาบอกว่ามีคนโดนออกจากราชการแบบนี้มา 70-80 คน ทำไมจะมีอีกคนไม่ได้ ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง ต้องดูหลักกฎหมายและคุณธรรม ไม่ใช่มายืนยันมาตนผิด หรือชี้นำสังคมแบบนี้

"สิ่งไม่ถูก ก็คือไม่ถูก จะมาทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม" บิ๊กโจ๊ก กล่าวยืนยัน