ภายหลัง นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เปิดเผยโรคที่ยังเป็นประเด็นและยังจำเป็นที่จะต้องเฝ้าของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ประกอบด้วยการมีประวัติโรคประจำตัวเป็น “โรคหัวใจ มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด” และอยู่ระหว่างการติดตามการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางอย่างใกล้ชิด และรับประทานยาละลายลิ่มเลือดอยู่ต่อเนื่องในปัจจุบัน กรณี “มีปัญหาทางปอด” เคยมีประวัติเป็น “ปอดอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด” ทำให้ภาวะปอดอักเสบเรื้อรัง ถึงแม้ว่าจะหายแล้ว แต่ยังคงพบว่า มีพังผืดในปอด ส่งผลให้มีความผิดปกติต่อเนื่องในการแลกเปลี่ยนออกซิเจน ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย ซึ่งทั้ง 2 ส่วน ถือว่าจำเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังและดูแลโดยบุคลากรทางด้านการแพทย์เพื่อประเมินว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
เมื่อประกอบกับการเป็นผู้สูงอายุที่มี “ความดันโลหิตสูง” ซึ่งอยู่ระหว่างการควบคุมและรักษาโดยการรับประทานยา ซึ่งการตรวจเบื้องต้นในวันนี้ ก็ยังพบความดันโลหิตที่ยังผิดปกติอยู่ และการพบมี “ภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม” ในหลายระดับ และที่สำคัญมีตรวจพบด้วย MRI พบการกดทับเส้นประสาท ส่งผลทำให้มีการปวดเรื้อรัง การเดิน การทรงตัวที่มีความผิดปกติ
โดยจากประวัติข้อมูลเบื้องต้นการตรวจร่างกายโดยทีมแพทย์ จึงเห็นว่ามีภาวะเป็น “กลุ่มเปราะบาง” ซึ่งตามแนวทางปฏิบัติของเรือนจำทั่วประเทศ ทางผู้บริหารมีนโยบาย กลุ่มเปราะบางจำเป็นจะต้องอยู่ในพื้นที่ ที่จำเป็นจะต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย และก็กรณีที่มีอาการเจ็บป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที เพื่อลดการสูญเสีย มาดูกันว่าแต่ละโรคอันตรายแค่ไหน
รู้จัก “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด”
ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันที่มีกลไกการเกิดมาจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจที่ตีบแคบอยู่ก่อนแล้ว อาการที่เกิดจากการมีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอต่อความต้องการของหัวใจที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน หรือที่เราเรียกว่า “อาการหัวใจวาย” โดยผู้ป่วยมักมีอาการแน่นหน้าอกเป็นอาการเตือนที่สำคัญ ดังนี้
สาเหตุที่สำคัญของการเกิดโรค
การป้องกัน "โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด"
ผู้ที่มีอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นครั้งแรก จะรู้สึก “เจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกาย หรือเหนื่อยง่ายกว่าปกติโดยหาสาเหตุไม่ได้” ควรรีบพบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้วินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง พร้อมทั้งจะได้รับการรักษา และป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปมากขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่ยังดีอยู่จะได้ทำงานเป็นปกติต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม การป้องกันไม่ให้เกิดโรค คือ วิธีที่ดีที่สุด ซึ่งเราสามารถป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้โดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนี้
รู้จัก “ปอดอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อโควิด-19”
ปอดอักเสบทำให้กระบวนการแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำงานได้ไม่ดี ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจอึดอัด หายใจลำบาก มีระดับความรุนแรงตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมากถึงขั้นเสียชีวิต
อาการปอดอักเสบสามารถสังเกตได้ดังนี้
กลุ่มเสี่ยงปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังมีภูมิต้านทานต่ำจากความเสื่อมสภาพทั่วไปของร่างกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไตวาย หัวใจ ไขมันพอกตับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากปอดอักเสบ เช่น ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หรือที่อันตรายที่สุด คือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
รู้จัก “โรคความดันโลหิตสูง”
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการแต่อย่างใด อาจมีอาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะตุบๆ เหมือนไมเกรน ในผู้ป่วยที่เป็นมานาน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ และเมื่อมีอาการมากอาจโคมา และเสียชีวิตได้
หากปล่อยไว้นาน ไม่รักษา! อาจส่งผลเสียต่อร่างกายดังนี้
ความดันโลหิตสูง เพชฌฆาตเงียบทำลายหัวใจ
1. โรคความดันโลหิตสูง คือ ภาวะแรงกดดันในหลอดเลือดแดงที่มีค่าสูงเกินปกติ (140/90 มิลลิเมตรปรอท)
2. ความดันโลหิตสูง ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ทำให้ผนังหัวใจหนาตัวและถ้าไม่ได้รักษาอย่างถูกต้อง ผนังหัวใจจะยืดออกและเสียหน้าที่ ทำให้เกิดหัวใจโต และหัวใจวายได้ ดังนั้นถ้าป้องกันความดันโลหิตสูง ก็สามารถป้องกันอันตรายจากโรคหัวใจได้
3. ความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติหรือสัญญาณเตือน ยกเว้นผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงระยะรุนแรงก็อาจมีอาการแสดง เช่น ปวดศีรษะรุนแรง หายใจได้สั้นลง เลือดกำเดาไหล
4. นอกจากโรคความดันโลหิตสูงที่เสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น หากเป็นโรคเบาหวาน โรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคอ้วน ก็สามารถเป็นโรคหัวใจได้เช่นกัน
5. สามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้ด้วยการ ลดกินเกลือ (โซเดียม) เพิ่มการรับประทานผักผลไม้(รสหวานน้อย) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์น้อยลง งดสูบบุหรี่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่
รู้จัก “โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน”
โรคกระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในวัยรุ่นและวัยผู้สูงอายุ โดยมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ ในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนมักเกิดจากความเสื่อมของแนวกระดูกสันหลัง ทั้งในบริเวณหมอนรองกระดูกและข้อต่อกระดูกสันหลัง ซึ่งจะทำให้กระดูกสันหลังเกิดความไม่มั่นคงและส่งผลทำให้มีการเลื่อนของชิ้นกระดูกสันหลังตามมาในที่สุด
สาเหตุของโรคกระดูกสันหลังเคลื่อน
สาเหตุของอาการปวดหลังในผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนมักเกิดจากความไม่มั่นคง (Instability) ของแนวกระดูกสันหลัง ซึ่งมักเริ่มจากหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ตามด้วยข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อม และส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดการ “เลื่อน” ซึ่งเมื่อกระดูกสันหลังเกิดการเลื่อนตัวออกจากกันจะทำให้เกิดการตีบแคบของโพรงเส้นประสาท และเมื่อมีการตีบแคบลงจนกระทั่งเกิดการกดทับเส้นประสาทก็จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดร้าวลงขา ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายตามมาในที่สุด
อาการโรคกระดูกสันหลังเคลื่อน
โดยทั่วไปอาการของผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนมักประกอบไปด้วย 2 อาการหลัก ได้แก่ อาการปวดหลังและอาการปวดร้าวลงขา ซึ่งทั้งสองอาการไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยกันก็ได้ แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการทั้งสองอย่างร่วมกัน แต่อาจแตกต่างกันตรงที่บางคนมีอาการหลักเป็นอาการปวดหลัง บางคนอาจมีอาการหลักเป็นการปวดร้าวลงขา
นอกจากนี้ผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังเคลื่อนส่วนหนึ่งอาจไม่มีอาการใด ๆ และอาจตรวจพบโดยบังเอิญจากภาพถ่ายรังสีเอกซเรย์ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนเมื่อเป็นมากขึ้นมักทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้