6 พฤศจิกายน 67 หลังจากเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ต่างๆ รายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า โดนัลด์ ทรัมป์
เป็นผู้คว้าชัยชนะ ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 บรรยากาศที่คฤหาสน์มาร์ อา ลาโก ของเขาก็ครึกครื้นทันที ซึ่งมีรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ ถึงกับเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ตอนที่ได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งในรัฐสมรภูมิ ก่อนที่สถานีโทรทัศน์ ฟ็อกซ์นิวส์ ประกาศว่า เขาเป็นผู้ชนะเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออก
ความคึกคักที่คฤหาสน์มาร์ อา ลาโก ที่ทรัมป์พูดคุยกับแขกจำนวนมาก รวมทั้ง อิลอน
มัสก์ มหาเศรษฐีที่ออกตัวสนับสนุนเขา ซึ่งได้พาลูกชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในลูก 7 คน ไปร่วมงานด้วย ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เขาอาจเป็นหนึ่งใน ครม. ของทรัมป์ ซึ่งสวนทางกับฝั่งของแฮร์ริส ที่ยกเลิกปาร์ตี้หลังการเลือกตั้ง และปฏิเสธที่จะพูดถึงการปราศรัยประกาศชัยชนะของทรัมป์ ที่จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมที่ปาล์ม บีช
ด้านสำนักข่าว AP พาดหัวว่า โลกตกอยู่ในอาการช็อก (WORLD IN SHOCK) โดยระบุว่า ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้เผยให้เห็นความลึกซึ้งของความแตกแยกในประเทศ ขณะที่ผู้สมัครเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่อ้างอิงตามชนชั้น เชื้อชาติและอายุ ที่มีปัจจัยคุกคามจาก "ข้อมูลที่ผิดพลาด" และ "ความรุนแรง" ที่เข้ามาเกือบจะตลอดเวลา
ข้อมูลเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์อาจได้อานิสงค์จาก "ลมเปลี่ยนทิศ" โดยมีปัจจัยมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ แต่เดิม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ทั้งชายและหญิง เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต และยังครองใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวลาติโน่ โดยเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ แต่ข้อมูลเบื้องต้นของ
AP VoteCast ที่สอบถามความเห็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากกว่า 115,000 คนทั่วประเทศ ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มเหล่านี้เปลี่ยนทิศทางไปหาทรัมป์
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี สนับสนุนแฮร์ริสน้อยกว่า ไบเดน ตอนที่สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2020 ขณะที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่มากกว่า 4 ใน 10 ที่เลือกทรัมป์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจากปี 2020 ประมาณ 1 ใน 3
การเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นคือในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวแอฟริกันอเมริกันและชาวลาติโน่ ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มสนับสนุนแฮร์ริสน้อยลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการสนับสนุนไบเดนเมื่อสี่ปีที่แล้ว