โดนัลด์ ทรัมป์ ผันตัวจากเจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และพิธีรายการเรียลลิตีโชว์ยอดนิยมสู่เส้นทางการเมือง โดยสามารถหักปากกาเซียน เฉือนชนะฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2559 แต่พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ให้กับโจ ไบเดน ในปี 2563 โดยจนถึงขณะนี้ก็ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
ปัจจุบันทรัมป์ ในวัย 78 ปี เป็นผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุด และจะเป็นประธานาธิบดีอายุมากที่สุดอันดับ 2 หากชนะเลือกตั้ง
ทรัมป์เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2489 ที่รัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรของ เฟรด ทรัมป์ นักธุรกิจด้านอสังหารริมทรัพย์ ที่เป็นลูกชายของผู้อพยพชาวเยอรมัน และแมรี แอนด์ แมคเลียต ทรัมป์ ชาวสกอต เขาจบการศึกษาที่สถาบันการทหารนิวยอร์ก และจบเศรษฐศาสตร์จากวิทยาลัยวอร์ตัน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
ทรัมป์เข้าทำงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบิดา ก่อนเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เดอะ ทรัมป์ ออร์แกไนเซชัน ในเวลาต่อมา มีโครงการโรงแรม กาสิโน และสนามกอล์ฟ หลายแห่งทั่วโลก ต่อมาเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการเป็นพิธีกรรายการเรียลลิตีโชว์ทางทีวี ที่มีชื่อว่า The Apprentice
เขาหันเหชีวิตสู่เส้นทางการเมืองโดยลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในนามพรรครีพับลิกันในปี 2559 และคว้าชัยชนะด้วยสโลแกน “อเมริกามาก่อน” (America First) และสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ในเดือนมกราคม 2560
ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่อยู่ในทำเนียบขาว เขาเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ มากมาย และสโลแกน “อเมริกามาก่อน” ได้กลายเป็นหัวใจของนโยบายต่างประเทศของเขา ทรัมป์ห้ามพลเมืองจากประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเข้าประเทศ, สร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก, ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส ที่มุ่งแก้ปัญหาโลกร้อน ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ยกเลิกและแก้ไข้ข้อตกลงการค้าหลายฉบับ รวมถึง ข้อตกลงนาฟตา และเปิดสงครามการค้ากับจีน
นอกจากนี้เขามีผลงานย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ในอิสราเอลจากเทลอาวีฟไปเยรูซาเลม เป็นตัวกลางเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและหลายประเทศ และเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนเกาหลีเหนือขณะยังดำรงตำแหน่ง
ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ประสบความล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และหลังจากแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีให้โจ ไบเดน ในเดือนพฤศจิกายน 2563 เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และยังแพร่ข้อกล่าวหาเท็จว่าถูกโกงการเลือกตั้ง จนนำไปสู่เหตุการณ์ผู้สนับสนุนบุกรัฐสภาเพื่อหวังขัดขวางการรับรองผลคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม 2564
ทรัมป์ยังเผชิญกระบวนการถอนถอนออกจากตำแหน่งถึง 2 ครั้ง โดยสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ถอดถอนครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2562 และอีกครั้งในเดือนมกราคม 2564 หรือเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนพ้นวาระ แต่หลังผ่านการไต่สวน วุฒิสภามีมติทั้งสองครั้งว่า เขาไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา ทำให้ไม่ต้องพ้นตำแหน่ง
และแม้เขาพ้นวาระไปแล้ว เขายังคงมีอิทธิพลสำคัญต่อพรรครีพับลิกันและการเมืองสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และยิ่งสร้างความแตกร้าวในการเมืองและสังคมให้มีการแบ่งขั้วมากขึ้นด้วย ขณะที่การกลับมาชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 3 นี้ เขาประกาศจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้อเมริกาอีกครั้ง และจะแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทำลายในสมัยของเดโมแครต
แต่ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ต้องต่อสู้คดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญารวมหลายคดี โดยเฉพาะคดีอาญามี 4 คดี เขาเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิดคดีอาญา ซึ่งหากเขาชนะเลือกตั้ง ก็จะส่งผลให้คดีถูกระงับไว้จนกว่าเขาจะพ้นตำแหน่ง แต่หากแพ้เลือกตั้ง เขาเตรียมเผชิญการต่อสู้คดียาวนาน และการรับโทษ โดยคำตัดสินโทษคดีอาญาคดีแรกจะมีขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ทรัมป์เผชิญกับเหตุการณ์พยายามลอบสังหาร ขณะหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย โดยมือปืนยิงจากหลังคาใกล้กับเวทีปราศรัย ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่หู
หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 100 ปี ที่ประธานาธิบดี ซึ่งแพ้เลือกตั้ง กลับมาคว้าชัยชนะได้อีกสมัย และหากอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระ ตอนนั้นเขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยวัย 82 ปี