23 ตุลาคม 2567 ผลการรวบรวมจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่วงหน้า ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา พบว่า มีประชาชนเกือบ 17 ล้านคน ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงล่วงหน้าในหลายรัฐ หลังจากรัฐจอร์เจียมีผู้ใช้สิทธิล่วงหน้าวันแรก สูงเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่รัฐฟลอริดาและอีกหลายรัฐ ทยอยเปิดให้ลงคะแนนล่วงหน้าในสัปดาห์นี้
โดยปกติการเลือกตั้งล่วงหน้าจะจัดก่อนวันเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ และจะสิ้นสุดในวันที่ 3 พฤศจิกายน ขณะที่รัฐแอละบามา, รัฐมิสซิสซิปปี และรัฐนิวแฮมป์เชียร์ เป็นเพียง 3 รัฐ ที่ยังไม่อนุญาตให้จัดการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่กำหนดให้ลงคะแนนทางไปรษณีย์ได้โดยต้องมีเหตุผลเหมาะสม
ที่ผ่านมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งเดโมแครตและกลุ่มผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มักใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งที่ลงคะแนนในหน่วยเลือกตั้ง หรือลงคะแนนทางไปรษณีย์
ขณะที่ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนิยมสูสีกันอย่างมาก โดยเฉพาะในรัฐสวิงสเตท 7 รัฐ ที่ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคใด ซึ่งทั้งคู่พยายามแย่งชิงคะแนนเสียงกันอย่างสุดฤทธิ์ และเร่งหาเสียงเพื่อโน้มน้าวใจผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจ รวมทั้งกระตุ้นให้คนไปใช้สิทธิล่วงหน้า เพราะทุกคะแนนเสียงอาจพลิกผลแพ้ชนะในการเลือกตั้งที่สูสีที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ
ทั้ง 7 รัฐ ประกอบด้วย แอริโซนา, จอร์เจีย, มิชิแกน, เนวาดา, นอร์ธแคโรไลนา, เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน ผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์ ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ พบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งเกือบ 47% บอกว่า อาจจะหรือลงคะแนนอย่างแน่นอนให้แฮร์ริส และอีก 47% อาจลงหรือลงคะแนนอย่างแน่นอนให้ทรัมป์ และสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อาจไปลงคะแนนเสียง 49% บอกว่า สนับสนุนแฮร์ริส และ 48% บอกว่า สนับสนุนทรัมป์
ในวันเดียวกันผลสำรวจของ ยูเอสเอทูเดย์และมหาวิทยาลัยซัฟโฟล์ก ที่สัมภาษณ์ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วพบว่า "แฮร์ริส" ได้รับเสียงโหวตมากกว่า "ทรัมป์" ที่ 63% ต่อ 34% ขณะที่ "ทรัมป์" มีเสียงสนับสนุนมากกว่าที่ 52% ต่อ 35% ในกลุ่มคนที่เตรียมใช้สิทธิในวันเลือกตั้ง
ส่วนข้อมูลที่รวบรวมโดยทาร์เก็ตสมาร์ท บอกว่า มีผู้ใช้สิทธิล่วงหน้าเกือบ 13 ล้านคน ซึ่งกว่า 6.9 ล้านคนเป็นเดโมแครต และ 5.3 ล้านคนเป็นรีพับลิกัน
จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเดโมแครต ที่ใช้สิทธิล่วงหน้าไม่ใช่ข้อได้เปรียบที่สำคัญ เพราะเดโมแครตส่วนใหญ่ นิยมใช้สิทธิล่วงหน้ามากกว่ารีพับลิกันอยู่แล้ว แต่หนึ่งสัญญาณบวกสำหรับเดโมแครต คือ จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งรายใหม่นับจากปี 2565 โดย 49% จาก 17.82 ล้านคนเป็นเดโมแครต และ 34% เป็นรีพับลิกัน ขณะที่ 17% ไม่ได้หนุนทั้งสองพรรค
นอกจากนี้ ผลสำรวจของแกลลัพ พบว่า นับจาก "แฮร์ริส" เป็นแคนดิเดตของเดโมแครตแทน "ประธานาธิบดีโจ ไบเดน" ที่ถอนตัว จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเดโมแครต ที่มีความกระตือรือร้นจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพิ่มขึ้นจาก 55% ในการสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม เป็น 78% ในเดือนสิงหาคม ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งรีพับลิกัน มีความสนใจอยากใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 59% เป็น 64%