นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เปิดเผยกับถึงที่มาของจำนวนเงิน 600 ล้านบาทว่า ใช้วิธีการเดียวกับการสนับสนุนค่าถ่ายทอดสดกีฬาโอลิมปิก ที่ออกให้คนละครึ่งกับการกีฬาแห่งประเทศไทย
“จากเดิมที่มีรายงานว่าค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 42.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ผู้ว่า กกท. จึงได้ทำหนังสือทางการไปต่อรองกับฟีฟ่า โดยขอให้ลดราคามาอยู่ที่ 32.2 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1,223 ล้านบาท) แต่ฟีฟ่ายังไม่ได้ยืนยันว่าลดได้หรือไม่ เราจึงได้ใช้การออกกันคนละครึ่ง คือ 16.1 ล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ที่ 611 ล้านบาท จึงได้ให้เป็นตัวเลขกลม ๆ ที่ 600 ล้านบาท”
นายไตรรัตน์ ระบุอีกด้วยว่า หลังจากนี้ กกท.อาจจะหาสปอนเซอร์เพื่อหาเงินสนับสนุนเพิ่มเติมในส่วนของตนจากที่อื่นต่อไป หากได้ก็ยินดี อย่างไรก็ตาม กสทช.ได้ช่วยเหลือแล้ว การดำเนินการใด ๆ ในการฉายหรือถ่ายทอดสดตามเงื่อนไขของฟีฟ่าหลังจากนี้อยู่ที่การจัดการของ กกท.
อีกประเด็นที่น่าสนใจ!!
600 ล้าน & Must Have เพื่อสิทธิเข้าถึงฟุตบอลโลก 2022
จากผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายถ้ามี การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกปี 2022 ระหว่างวันที่ 20 พ.ย -18 ธ.ค.2565 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เชื่อว่า จะสร้างความคึกคักให้กับระบบเศรษฐกิจไทยได้ เพราะจะมีเม็ดเงินสะพัด จากการสังสรรค์ ทานอาหารในร้านที่มีการถ่ายทอดฟุตบอลโลก ช่วง 17.00 น., 20.00น., 23.00 น. และ 02.00 น.ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบประมาณ 1.85 หมื่นล้านบาท ขยายตัวจากช่วงการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ถึง 22 % ในจำนวนนี้เป็น เม็ดเงินด้านการสังสรรค์ 1.55 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวร้านอาหาร และสถานบันเทิงคึกคัก
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ยังระบุว่า เม็ดเงินจากกระแสฟุตบอลโลกจะหมุนเวียนและสร้างแรงเหวี่ยงให้กับเศรฐกิจไทยในช่วงปลายปี 2565 อีกประมาณ 1 เท่า ทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดโดยรวมเกือบ 3.5 หมื่นล้านบาท และช่วงที่มีการถ่ายทอดสดมาตลอด สามารถสร้างแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจ และสร้างซัพพลายเชนได้มาก ไม่ว่า ชุดและอุปกรณ์กีฬา สื่อสารมวลชน วงการโฆษณา เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบการสื่อสาร อินเตอร์เน็ต และในเรื่องของการกินเลี้ยงสังสรรค์ กระแสฟุตบอลโลก เป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดี และยังผลบวกต่อเม็ดเงินนอกระบบวงเงินพนันจะอยู่ที่ 5.72 หมื่นล้านบาท ขยายตัวจากช่วงของฟุตบอลยูโรปี 2020 ถึง 25%
อาจจะเป็นเพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือทำตามประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 (Must Have) ที่ระบุว่า 7 มหกรรมกีฬาที่คนไทยต้องดูฟรี ประกอบด้วย กีฬาซีเกมส์, อาเซียนพาราเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, เอเชี่ยนพาราเกมส์, โอลิมปิกเกมส์, พาราลิมปิกเกมส์ และฟุตบอลโลก วานนี้ (9 พ.ย.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงมีมติ ให้ กสทช. นำงบกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) จำนวน 600 ล้าน ไปดำเนินการเพื่อให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ให้คนไทยทุกคนสามารถรับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 ทั้ง 64 นัด ผ่านฟรีทีวีทุกแพลตฟอร์มอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
ทว่า ในประเด็นนี้ ยังมี 'กรรมการเสียงส่วนน้อย' และ 'นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนเห็นต่าง' ได้เสนอว่า หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยได้ดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลกควรใช้งบประมาณของฝ่ายบริหารในการดำเนินการ เนื่องจากเป็นเงินส่วนกลางเพื่อประโยชน์สาธารณะ การนำไปใช้สนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายขัดต่อวัตถุประสงค์ของกองทุน และมีโอกาสกระทบต่อสภาพคล่อง ส่งผลกระทบต่อการขาดโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยทั้งประเทศในภาพรวมได้
ขณะที่อีกมุมมองที่น่าสนใจจากคนดังในแวดวงการเมือง-กีฬา
วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองกรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าการนำเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) จำนวน 1,600 ล้านบาท ไปใช้สนับสนุนค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 เกิดจากกฎ Must Carry หรือ Must Have ที่ กสทช.วางเงื่อนไขไว้หลังจากการประมูลทีวีดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายการถ่ายทอดสดเวทีสำคัญระดับชาติโดยไม่ถูกปิดกั้นจากเจ้าของผู้ประมูลลิขสิทธิ์ เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในสมัยฟุตบอลโลกปี 2014
ระยะแรกเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่ากฎ Must Carry ของ กสทช. เป็นการบิดเบือน แทรกแซงกลไกตลาดในการซื้อขายลิขสิทธิ์บอลโลก
ในอดีต ช่องทีวี 3 5 7 9 หรือที่เรียกว่า ทีวีพูล ใช้วิธีร่วมลงขันกันซื้อลิขสิทธิ์ และนำรายการมาเฉลี่ยจัดสรรการถ่ายทอดกันตามสัดส่วนเงินที่ลงทุน ในส่วนของผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ เจ้าของรายการอื่นๆ หากอยากได้เนื้อหา ฟุตเทจวีดีโอ ก็ต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้กับทีวีพูล รวมถึงเจ้าของสินค้าที่อยากมีผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกอากาศในระหว่างการถ่ายทอดเพราะสามารถเข้าถึงคนดูจำนวนมาก ก็ต้องจ่ายเงินค่าสปอนเซอร์ในการสนับสนุน ทั้งหมดนี้เป็นการหารายได้ของผู้ประมูลลิขสิทธิ์ที่สามารถปฏิบัติกันมายาวนานโดยไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งเกิดกฎ Must Carry
ดังนั้น หากจะแก้ปัญหาให้ถูกต้องก็ต้องกลับไปแก้ที่ต้นเหตุด้วยการทบทวน กฎ Must Carry ใหม่ ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ด้วยการให้รัฐหาเงินมาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ไม่ว่าจะจากการะดมทุนในบริษัทบิ๊กคอร์ปให้ช่วยอุดหนุน หรือจะจากงบรัฐ ที่ทำให้เกิดคำถามตามมาของคนที่ไม่ใช่แฟนบอลว่า แล้วทำไมต้องนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้กับเรื่องที่เขาไม่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่นด้วยการใช้กลไกธุรกิจ เพื่อไม่สร้างภาระให้รัฐ และประชาชนเหมือนเช่นในอดีตที่ก็เคยทำกันมาอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน หากเราเป็น FIFA หรือบริษัทเอเย่นที่เป็นตัวแทนนายหน้าขายลิขสิทธิ์บอลโลก เมื่อเจอกรณีแบบประเทศไทยที่รัฐกลัวเสียหน้า ยอมเปลืองตัวเป็นเจ้าภาพหาเงินมาอุดหนุนก็ต้องบอกได้คำเดียวว่า หวานหมู เพราะไม่ว่าค่าลิขสิทธิ์จะสูงลิ่วเพียงใด รัฐก็ต้องกัดฟันเอาเงินมาให้อยู่ดี และนั่นก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ลิขสิทธิ์บอลโลก 2022
ของไทยจึงได้แพงกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน ออกกฎ Must Carry ปกป้องประชาชนแต่สุดท้ายก็ต้องนำเงินประชาชนมาใช้อยู่ดี แถมยังกลายเป็นของหวานให้ต่างชาติรีดเงินเพิ่ม
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพื่อเป็นการวางแผนระยะยาวในอีก 4 ปีข้างหน้า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีการปรับปรุงกฎ Must Have ประกาศ กสทช.เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายการถ่ายทอดสดเวทีสำคัญระดับชาติโดยไม่ถูกปิดกั้นจากเจ้าของผู้ประมูลลิขสิทธิ์ อย่างละเอียดรอบคอบด้วยการใช้กลไกธุรกิจ เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างภาระให้รัฐบาลและ เป็นไปตามกลไกการตลาด ที่มูลค่าลิขสิทธิ์แปรผันตามฐานจำนวนผู้ชม รวมถึงรายได้ที่จะเกิดขึ้นจากโฆษณาและอื่นๆ ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ จะต้องหารือร่วมกันเพื่อให้เกิดสมการที่ลงตัวในอนาคต
หลังรับทราบงบจากทาง กสทช. ทางด้าน ผู้ว่าฯ กกท.รับงานนี้ "หนักใจ"
กรณี ที่ กสทช. อนุมัติงบค่าลิขสิทธิ์ "ฟุตบอลโลก 2022" เพียง 600 ล้าน น้อยกว่าที่คาด ขอเร่งหาทางอื่น รวมถึงการหารือกับภาคเอกชนที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้านี้
ล่าสุด ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เผยว่า
"ได้เรียกทีมงานประชุมหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรกันต่อไป ยอมรับว่าค่อนข้างหนักใจกับจำนวนเงินที่ได้รับมา 600 ล้านบาท เพราะตอนแรกคาดว่าจะได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามจะพยายามทำอย่างเต็มที่ในการหาเงินมาให้ครบภายในระยะเวลาที่เหลืออยู่ เพื่อที่จะให้คนไทยได้รับชมฟุตบอลโลก โดยจะหารือกับภาคเอกชนได้คุยไว้แล้วบางส่วนก่อนหน้านี้ แต่ก็คงต้องมารอดูกันว่าจะมีใครเข้ามาสนับสนุนได้เท่าไหร่บ้าง"
ขอขอบคุณที่มา >> เดียร์ วทันยา บุนนาค