สถานการณ์การก่อการร้ายของกลุ่ม BRN มีแนวโน้มขยายตัวทั้งปริมาณการก่อเหตุ และความรุนแรงของการก่อการร้าย โดยเฉพาะเหตุระเบิดใหญ่ที่อำเภอสุไหงโกลก และตามมาด้วยการซุ่มยิงและวางระเบิดในพื้นที่อำเภอสายบุรีในวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา เป็น “เสียงนาฬิกาปลุก” ที่ดังชัดเจน เพื่อบอกว่ารัฐบาลควร “ตื่นจากภวังค์” ได้แล้ว เพราะรัฐบาลนี้ในช่วงที่ผ่านมาดูจะไม่ให้น้ำหนักกับงานความมั่นคงเท่าที่ควร
ว่าที่จริง สถานการณ์ก่อการร้ายขอ“เปิดโต๊ะเจรจา” BRN ก่อนวันที่ 8 ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นการก่อเหตุที่กระทำคู่ขนานกับข้อเรียกร้องของกลุ่มให้ ปัญหาภาคใต้
เสียงเรียกร้องนี้ประสานเข้ากับนักการเมืองบางคน และองค์กรแนวร่วมบางส่วน ภายใต้เข็มมุ่งหลักคือ "คุยไป-ฆ่าไป/ฆ่าไป-คุยไป"
แฟ้มภาพ สภาพความเสียหาย บริเวณที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส หลังเกิดเหตุความไม่สงบ เมื่อค่ำวันที่ 8 มี.ค. 68
การเรียกร้องเช่นนี้อาจต้องพิจารณาว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความกังวลผู้นำ BRN อันเป็นผลจากการตั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นที่ปรึกษาของประธานอาเซียนในวาระปัจจุบันคือ นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซียนั้น การแต่งตั้งเช่นนี้อาจจะทำให้รัฐบาลไทยไม่สนใจการเจรจา และหันไปร่วมมือกับรัฐบาลมาเลเซียมากขึ้น เนื่องจากกลุ่ม BRN แฝงตัวและได้รับความคุ้มครองอยู่ในพื้นที่ตอนเหนือของมาเลเซีย ที่เป็นพื้นที่หรือเขตอิทธิพลของพรรคปาส ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซีย
การเร่งขยายการก่อการร้ายของกลุ่ม BRN จึงเป็นการส่งสัญญาณว่า
1) รัฐบาลไทยจะต้องไม่ลืมพวกเขาด้วยการเปิดการเจรจา และ 2) เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกเขายังมีศักยภาพในการก่อความรุนแรงได้เสมอ
ฉะนั้น แม้การเจรจาระหว่างอดีตนายกฯ ทักษิณ กับนายกฯ อันวาร์ จะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะก่อเหตุรุนแรงต่อไป เพราะมีพื้นที่ที่เป็น “ฐานที่มั่น” ที่ชัดเจนอยู่ในอีกฝั่งของเส้นพรมแดนของรัฐไทย หรือที่ในภาษาทหารเรียกพื้นที่ของกลุ่ม BRN ในลักษณะเช่นนี้ว่าเป็น “พื้นที่ส่วนหลัง” (rear area) ที่ใช้เป็นที่หลบซ่อน และพักพิง โดยจะไม่ถูกแตะต้องโดยอำนาจรัฐไทย (ไม่ต่างจากทั้งจีนและอินโดจีนเคยเป็นพื้นที่ส่วนหลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในยุคสงครามเย็นนั่นเอง)
แฟ้มภาพ สภาพความเสียหาย จากเหตุการณ์ก่อความไม่สงบบริเวณที่ว่าการอำเภอสุไหงโกลก จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันที่ 8 มี.ค. 68
ในอีกด้านหนึ่ง ขบวนการก่อการร้ายทุกขบวนมีทั้ง “ปีกการเมือง” และ “ปีกการทหาร” ซึ่งปีกการทหารมีความเชื่อแบบด้านเดียวตามทฤษฎีสงครามของประธานเหมาเจ๋อตุง คือ “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน”
ดังนั้น สำหรับปีกนี้แล้ว การก่อการร้ายและการสร้างเหตุรุนแรงจึงเป็นทิศทางหลัก แต่หากปีกการเมืองอยาก “พูดคุย” กับรัฐไทย ก็เป็นความหวังว่า การพูดคุยกับฝ่ายรัฐจะเป็นปัจจัยที่เอื้อประโยชน์ต่อปฏิบัติการของBRN ในภาพรวม เพราะการพูดคุยในความหมายของการเจรจานั้น เป็นรูปแบบการต่อสู้ส่วนหนึ่งในกระบวนการการเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธ
ดังนั้น จึงอาจกล่าวในทฤษฎีการสงครามได้ว่า การเจรจาคือ “สงครามการเมือง” ในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง เพราะวัตถุประสงค์ของการเจรจาของขบวนติดอาวุธที่ดำเนินการต่อต้านรัฐนั้น มีความชัดเจนในตัวเองเสมอ คือ“การเอาชนะฝ่ายรัฐบนเงื่อนไขของข้อตกลงทางการเมือง” ไม่ใช่การเจรจาเพื่อยุติการก่อเหตุร้ายอย่างที่ฝ่ายรัฐต้องการ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการเจรจาคือ “การสร้างความได้เปรียบทางการเมือง” ที่ฝ่ายรัฐจะถูกกดดันให้ต้องยอมรับเงื่อนไขของขบวนติดอาวุธ ซึ่งก็คือ “ความพ่ายแพ้ทางการเมือง” และความพ่ายแพ้เช่นนี้ เป็นปัจจัยชี้ขาดการสงครามมากกว่าความพ่ายแพ้ทางการทหาร
(บรรดาอดีต “คนเดือนตุลา” ต้องเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี เพราะนี่เป็นหลักการพื้นฐานของทฤษฎีการสงครามของประธานเหมาเจ๋อตุง)
แต่ดูเหมือนฝ่ายรัฐทั้งในบริบทขององค์กร อย่าง สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือ ตัวบุคคลที่มีตำแหน่งในรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบด้านความมั่นคง ตลอดรวมถึงคณะบุคคลที่ถูก “อุปโลกน์” ให้ขึ้นเป็นผู้รับผิดชอบงานภาคใต้ จนถึงขั้นมีการเปิดเวทีที่ตั้งชื่ออย่างหรูว่า “แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศในการขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติสุข” ที่จัดขึ้นในต้นเดือนมีนาคม ในโรงแรมที่กรุงเทพฯ นั้น น่าจะเชื่อไปในทิศทางที่ว่าการพูดคุยกับ BRN จะเป็นการยุติความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่สิ่งที่เกิดกลับสวนทาง และเห็นถึงการขยายการก่อความรุนแรงอย่างต่อเนื่องของ BRN ( อยากฝาก สมช. ว่า เลิกใช้คำว่า “ความเป็นเลิศ” ได้แล้ว เพราะในมหาวิทยาลัยเลิกใช้คำนี้ไปนานแล้ว เป็นภาษาที่เชยและไม่มีความหมายอะไร !)
ผลที่เกิดจากปฏิบัติการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง ได้ทำลายสมมติฐานเช่นนั้นของฝ่ายรัฐไปแล้ว และสะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อเช่นนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า “ความอ่อนหัด” ทางการเมืองของรัฐบาล (และบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง) พวกเขาอาจคาดหวังว่า การเจรจาจะเป็นเครื่องมือในการยุติความรุนแรง
แฟ้มภาพ เกิดเหตุความไม่สงบ บริเวณที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อค่ำวันที่ 8 มี.ค. 68
แต่ในความเป็นจริง BRN กำลังใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการบังคับให้รัฐต้องเจรจากับพวกเขา และในอีกด้านก็เป็นความรุนแรงที่กำลังบั่นทอนความน่าเชื่อถือทางด้านความมั่นคงของรัฐบาล ทั้งยังสะท้อนให้เห็นอาการ “หมดสภาพ” ของหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ โดยเฉพาะกับสถานะของกองทัพภาคที่ 4
ดังนั้น ถ้าวันนี้มีการตั้ง “หัวหน้าคณะพูดคุยฯ” และเตรียมเปิด “โต๊ะเจรจา” แล้ว ก็จะเป็นคำตอบในตัวเองถึง “ความอ่อนแอด้านความมั่นคง” ของฝ่ายรัฐ เพราะการตั้งเช่นนี้จะทำให้ถูกมองในเชิงภาพลักษณ์ว่า เกิดจากการกดดันด้วยการก่อการร้ายของกลุ่ม BRN อันมีนัยเท่ากับฝ่ายรัฐ“แพ้การเมือง” ตั้งแต่ยังไม่เจรจา
วันนี้ รัฐบาล สมช. และคณะบุคคลที่ถูกอุปโลกน์กันขึ้นมานั้น ควรต้องตระหนักว่า รัฐไทยไม่ได้เจรจากับกลุ่มติดอาวุธ BRN บน “ทุ่งลาเวนเดอร์” แต่เป็นการเจรจาอยู่บนสนามรบ ที่มีชีวิตของพี่น้องประชาชน และชีวิตเจ้าหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเดิมพัน
… อยากขอให้รัฐบาลและบุคคลที่เกี่ยวข้องเลิก “ฝันหวาน” และมองความเป็นจริงกับการก่อการร้ายและก่อความไม่สงบของ BRN ให้มากขึ้น เพื่อแสวงหาหนทางในการแก้ปัญหา ที่อาจจะไม่จำเป็นต้อง “เป็นเลิศ” อย่างชื่อเวทีเมื่อต้นเดือนมีนาคมนี้ แต่เป็นหนทางที่มียุทธศาสตร์และทิศทางกำกับ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง
- หมายเหตุผู้เขียน: ผมไม่เคยปฏิเสธการเจรจาเพื่อแสวงหาลู่ทางในการสร้างความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทฤษฎียุทธศาสตร์สอนเสมอว่า การเจรจาที่เริ่มจากความอ่อนแอ และไร้ทิศทางที่ชัดเจนนั้น คือ ความพ่ายแพ้ที่ไม่น่าให้อภัย เพราะเงื่อนไขเช่นนั้นเป็นความพ่ายแพ้ในตัวเองตั้งแต่ก่อนการเจรจาจะเริ่มต้นเสียอีก !