นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (คกก. ปชด.) จัดการประชุมคณะกรรมการ อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 2 กองบัญชาการกองทัพไทย
โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พร้อมเสนาธิการเหล่าทัพ เลขาธิการ ปปส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยได้รับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ภายหลังการระงับการส่งออกน้ำมัน การงดการจ่ายกระแสไฟฟ้า และตัดสัญญาโทรคมนาคม (มาตรการ 3 ตัด) รวมทั้งปฏิบัติการ Seal Stop Safe ของรัฐบาล นอกจากนี้ มีการรายงานผลการดำเนินงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผลการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานความมั่นคงบริเวณชายแดน ของ ผบ.ทสส. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปชด. เรื่องการส่งกลับชาวต่างชาติที่ถูกชักชวนไปทำงานผิดกฎหมายในเมียนมา
จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาการจัดตั้งคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ให้กับคณะกรรมการ ปชด. และ ศอ.ปชด. ตลอดจนพิจารณาจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามเฉพาะด้าน อาทิ ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจด้านยาเสพติดทางบก ทางทะเล ทางอากาศ (ศปฉ.331 ศปฉ.332 และ ศปฉ.333) และศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการค้ามนุษย์ (ศปฉ.88) ตลอดจนพิจารณาข้อเสนอมาตรการควบคุมเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ มาตรการระงับสัญญาณโทรคมนาคมที่ส่งผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสง มาตรการควบคุมบุคคลต่างชาติเข้าพื้นที่อำเภอชายแดน และมาตรการควบคุมสินค้าผ่านแดน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้สำเร็จเป็นรูปธรรม และเกิดความยั่งยืน
ต่อมา นายภูมิธรรม แถลงผลการประชุมฯ ว่า ในวันนี้ยังไม่มีการผ่อนปรนมาตรการตัดไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต และน้ำมัน ไปยังประเทศเมียนมา เพราะประเมินแล้วว่าจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงยังต้องคงเอาไว้ อีกทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือผู้ที่ก่ออาชญากรรมข้ามชาติ อีกทั้งบางพื้นที่ยังพบว่ายังมีการหลอกลวงอยู่ ก็น่าจะมีขบวนการอยู่ภายใน นอกจากนี้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังมีการย้ายฐานจากเมียวดี ประเทศเมียนมา ไปยังฐานฝั่งประเทศกัมพูชา และเวียดนาม
"ยืนยันจะเดินหน้าปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ไม่หยุดแน่นอน ตามที่นายกรัฐมนตรี ระบุไว้ ไม่จบไม่เลิก อีกทั้งยังได้มีการพูดคุยกับทางกัมพูชา โดยได้ทำหนังสือถึง รมว.กลาโหม และ รมว.มหาดไทยของกัมพูชา เพื่อให้การประสานงานดีขึ้น รวมถึง สปป.ลาว ด้วย ในส่วนของคิงโรมัน ทราบว่ามีการย้ายฐานไปบ้างแล้ว ก็จะเร่งแก้ไขปัญหาต่อไป"
นายภูมิธรรม ยังระบุอีกว่า ได้มีการตั้งทีมกฎหมาย เพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งวันนี้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงโครงสร้าง และระบบประสานงานที่ชัดเจน โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ ป็นผู้บัญชาการ
ส่วนข้อเสนอที่จะประกาศ 5 อำเภอจังหวัดตาก เป็นพื้นที่พิเศษนั้น นายภูมิธรรม บอกว่า ได้มอบหมายให้ไปหารือกัน เพราะแม้จะยึดหลักความมั่นคง แต่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ก็ต้องไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องว่ามีความเป็นไปได้ในระดับใด หรือมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด ในขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการก็ยังไม่มีปัญหาอะไร วันนี้เป็นการตัดสินใจที่คำนึงเรื่องหลักมนุษยธรรมและความมั่นคง รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศ เราพยายามประสานงานและหาจุดที่พอดี ซึ่งขณะนี้ยังไม่ยืดหยุ่นและยังคงมาตรการเข้มงวดต่อไป
เมื่อถามว่า จะแก้ไขปัญหาระยะยาวอย่างไร เพราะที่ทำอยู่เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นายภูมิธรรม กล่าวว่า การปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ต้องอาศัยความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใดที่เป็นศูนย์กลางหรือเป็นฐานที่มั่น ก็ต้องดำเนินการให้เข้มข้น อยู่ในความรับผิดชอบของประเทศใด ประเทศนั้นก็ต้องเป็นศูนย์กลางในการปราบปราม ซึ่งเราได้มีการพูดคุยในที่ประชุม รมว.กลาโหมอาเซียนไปแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ภูมิภาคนี้ต้องจัดการ
ส่วนปัญหาเรื่องท่าข้ามต่างๆที่กังวลว่าจะมีการลักลอบสิ่งต้องห้าม ส่งให้ขบวนการคอลเซ็นเตอร์นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกันว่าจะดำเนินการในระดับใด อยากให้การเคลื่อนย้าย การขนส่ง อยู่ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ในขณะที่ท่าข้าม จะใช้ควบคุมการขับเคลื่อนของคน
ส่วนข้อเสนอการสร้างแนวกำแพงกั้นบริเวณแนวชายแดน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมีทั้งเสียงสนับสนุนและโต้แย้ง อยู่ระหว่างการประเมิน
นายภูมิธรรม ยังย้ำอีกว่า มาตรการการปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ของเรามีความเข้มข้น เพียงแต่พวกเราไม่มั่นใจกันเอง
เมื่อถามว่า มีข้อกังขาว่าลูกชายรัฐมนตรี ถือหุ้นบริษัทอยู่ในเมียนมา จะส่งผลต่อการออกมาตรการปราบแก๊งคอลเซนเตอร์หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ให้เอาชื่อมาแล้วไปดูความเกี่ยวพัน ตนอยากแก้ปัญหาตามความเป็นจริง อย่าจินตนาการ หลายเรื่องที่พูดมาบางครั้งก็จินตนาการ ยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแน่นอน ด้วยเกียรติยศของตน