svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"โรม" เซ็ง ถกปม "ว้า-คอลเซ็นเตอร์-4 ลูกเรือไทย" ไร้ความชัดเจน

“โรม” ซัด รัฐบาลไทยเสียเหลี่ยม ทั้งที่มีแต้มต่อ จี้สั่งนโยบายให้ชัด อย่าให้เสียของ หลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล พร้อมเล็งหยิบไปซักฟอกต่อ 

9 มกราคม 2568 "นายรังสิมันต์ โรม" ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยผลการประชุม กมธ. ซึ่งได้มีการเชิญหน่วยงานเข้าชี้แจง 3 เรื่องหลักๆ คือ 4 ลูกเรือประมงไทย ว้าแดง และแก๊งคอลเซนเตอร์ 

โดยกรณี 4 ลูกเรือประมง ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะได้กลับประเทศเมื่อไหร่ จึงได้สอบถามถึงแนวการเจรจาของรัฐบาลเพื่อให้เกิดการปล่อยตัว โดยยอมรับยังไม่มีข้อมูลข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่ความสบายใจให้กับทุกฝ่าย รวมถึงยังไม่มีข้อมูลว่ารัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือ ด้านกฎหมายกับ 4 ลูกเรือไทย หลังถูกศาลเมียนมาตัดสินจำคุก 

ส่วนกรณีที่ "นายภูมิธรรม เวชยชัย "รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่าทางการไทยเคยประท้วงไปยังเมียนมา แต่ข้อสรุปคือยังไม่ได้มีการประท้วงมาก่อน ตนจึงได้ถามว่าจะมีการประท้วงหรือไม่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่รุนแรง ขณะที่หน่วยงานที่มาชี้แจงกับ กมธ.ในวันนี้ เป็นการให้ข้อมูลลักษณะแนวทางป้องกันในอนาคต และมาตรการป้องกันของไทย แต่เรื่องการประท้วงรัฐบาลเมียนมา ได้รับคำตอบว่ายังไม่มีแนวทางนั้น ทั้งนี้ กมธ. เห็นควรว่าต้องมีมาตรการเชิงรุก กระทรวงการต่างประเทศ ควรมีการประท้วง ซึ่งจริงๆแล้วไทยมีแต้มต่อ มีไพ่หลายอย่าง ที่สามารถต่อรองได้ก็ควรใช้ เพื่อช่วยเหลือลูกเรือไทย ซึ่งเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไทยเสียเหลี่ยมทางการเมือง 

“กระทรวงต่างประเทศ บอกว่าจะต้องใช้การเจรจาตามขั้นตอน แต่ประชาชนในประเทศต้องการรับทราบความจริง และรัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะห้ามคนแสดงความคิดเห็นได้ อีกทั้งเห็นว่าหน่วยงานที่มาชี้แจง ไม่มีอำนาจในการดำเนินการ จึงไม่ได้รับคำตอบที่ตรงประเด็น”

รังสิมันต์ โรม  สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน  ในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร

ส่วนเรื่องว้าแดง ก็ยังไม่มีคำตอบเช่นกัน ว่าสุดท้ายจะถอนฐานทัพจากดินแดนของไทยออกไปเมื่อไหร่ แต่ในส่วนที่ประชาชนกังวลหลังจากเปิดดู google map เห็นหมุดปัดจุดผลิตยาเสพติด โกดังเก็บยาเสพติดต่างๆ ทาง กมธ. ได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถยืนยันข้อมูลว่าจริงหรือไม่ แต่ปัญหานี้จะต้องพิจารณามากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่เรื่องรุกล้ำอธิปไตย เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นป่าต้นน้ำมาแม่น้ำปาย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย ที่ผ่านมาประชาชนสามารถข้ามแม่น้ำไปเก็บของป่าได้  แต่ตอนนี้ไม่ได้เพราะว้าไม่อนุญาต ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร และเจรจาจะจบสิ้นเมื่อไหร่ ทั้งที่เป็นปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และยังพบว่าว้ามีการทำเหมือง อีกทั้งการผลิตยาเสพติด ก็มีการใช้ไฟฟ้าและน้ำ

ส่วนปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไร แต่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากเดิมที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มี 35 แห่ง วันนี้ข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงมี 40 แห่ง เท่ากับมีเพิ่มขึ้นมาอีก 5 แห่ง ฝั่งคิงโรมันมี 5 แห่ง ฝั่งกัมพูชามีประมาณ 30 แห่ง ซึ่งรวมๆแล้วมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่รอบประเทศไทยประมาณ 75 แห่ง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มหาศาล และยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีแนวทางปราบปรามแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร แต่ก็พยายามวางแผนอย่างเป็นระบบ ซึ่งก็ต้องขอบคุณ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ สกมช. ที่มีข้อเสนอเป็นรูปธรรม และ กมธ.ก็จะทำงานวางแผนร่วมกับ สกมช. ต่อไป แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีทางที่จะครอบคลุมไปถึงบริเวณตามแนวชายแดนได้ อาจทำได้ในเรื่องของการจัดการบัญชีม้าและซิมม้าต่างๆ เท่านั้น

"นายรังสิมันต์" ยังบอกด้วยว่า สำหรับผู้แทนหน่วยงานที่มีการเชิญมาชี้แจงในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรง อย่าง กองทัพไทย ส่งเจ้ากรมชายแดน มา ส่วนกระทรวงต่างประเทศ ส่งอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ซึ่งก็ดูในเรื่องของเมียนมาโดยตรง เพราะฉะนั้นโดยภาพรวมก็ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือระดับนโยบาย ซึ่งก็คือรัฐบาลจะมีแนวทางอย่างไร เพราะหัวต้องขยับก่อน ถ้านโยบายเรื่องคอลเซ็นเตอร์มันไม่มี ก็จัดการต่อไม่ได้

“กองทัพพูดกับผม ผมนั่งนับได้เกือบ 20 ครั้ง อย่างเรื่องว้า กองทัพมีความพร้อมในปฏิบัติการทุกรูปแบบ เราเองก็ได้รับข้อมูลเรื่องของศักยภาพของกองทัพอยู่ แต่ถ้าหัวไม่ขยับ มันก็เดินต่อไม่ได้ เช่นเดียวกับเรื่องเรือประมง ผมคิดว่าถ้าแฟร์ๆกับกระทรวงต่างประเทศ กับอธิบดีที่มาตอบ ท่านก็คงทำได้หรือตอบได้ในกรอบที่กระทรวงต่างประเทศมี แต่คำถามคือถ้าท่านจะยกระดับในการเจรจาต่อรอง มันต้องใช้กลไกที่มากกว่าแค่กระทรวงต่างประเทศ อันนี้ทางรัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร จะต้องดำเนินการให้เกิดการบูรณาการกัน”

"นายรังสิมันต์"กล่าวต่อว่า ตนได้บอกกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ว่า ต้องมีคำแนะนำได้แล้ว ว่าจะยกระดับอย่างไร บูรณาการอย่างไร แต่ก็ยังไม่เห็น

ส่วนที่นักวิชาการมองว่าการช่วยเหลือ 4 ลูกเรือประมงไทย ทางการไทยควรติดต่อไปยังศูนย์กลางอำนาจของเมียนมา หรือ "พลเอกอาวุโส มิน อ่องหล่าย" ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ แต่ในทุกระดับของกองทัพ เข้าใจว่าน่าจะมีการติดต่ออยู่ การติดต่อไปยังศูนย์กลางอำนาจของเมียนมา เชื่อว่าคงจะมี และรัฐบาลฯ แพทองธาร ก็เชื่อว่าเคยพบกับ"พลเอกอาวุโส มิน อ่องหล่าย" พร้อมระบุว่าวันนี้ทุกคนก็รู้ว่า"รัฐบาลทหารเมียนมา"ต้องการเงินในการสู้รบกับชนกลุ่มน้อย รัฐบาลไทยก็อำนวยความสะดวกด้วยการให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงาน ที่มีขั้นตอนโดยสถานทูตเมียนมาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งขั้นตอนนี้จะนำไปสู่การสร้างเงินรายได้ให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาเกือบ 10,000 ล้านบาท กรณีแบบนี้ก็ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยน่าจะมีสายสัมพันธ์ที่ดี เพราะอำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้ คิดว่าเรามีกลไกหลายอย่างที่จะต่อรอง แต่มันอยู่ที่ว่ารัฐบาลไทยจะทำหรือไม่ เห็นความสำคัญหรือไม่ ที่จะทำ

ส่วนเรื่อง"คอลเซ็นเตอร์"ที่มีข่าวนายแบบชาวจีนอีกคนหายตัว ไปตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม เหมือนจะซ้ำรอยกับ"นายซิงซิง"คล้ายจะเปลี่ยนเป้าหมายเหยื่อมาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในจีน และใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กรณีของ"นายซิงซิง" ทราบว่ามีการขายต่อของ"แก๊งคอลเซ็นเตอร์" เข้าใจว่าน่าจะไปถึง 3 บริษัทที่อยู่ในพื้นที่เมียนมา ส่วนกรณีของนายแบบที่พูดถึง ก็ยังมีข่าวที่คุณพ่อตามหาลูกสาวชาวจีนอีก เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน 

"นายรังสิมันต์ โรม" ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร

"วันนี้รัฐบาลต้องเปลี่ยนวิธีคิด อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องของประเทศนั้น แล้วให้สถานทูตเขาไปติดตามติดต่อเอาเอง ประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่าน ถ้าคุณคิดแบบนี้ชื่อเสียงของประเทศไทยป่นปี้แน่นอน การท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหายแน่นอน เราต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้นักท่องเที่ยวเริ่มรู้สึกว่าการมาที่ประเทศไทยมันไม่ปลอดภัย แล้วรัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างไร เราจะปล่อยไปเรื่อยๆ ให้การท่องเที่ยวมันพังไปก่อน แล้วค่อยว่ากัน ผมคิดว่าเรื่องนี้รับไม่ได้ การช่วยเหลือนายซิงซิง เป็นเรื่องดี แต่ยังมีอีกหลายคนที่รอคอยความช่วยเหลือ ผมคิดว่าเราคงต้องให้ความช่วยเหลือเต็มที่ การประชุม กมธ.ความมั่นคง วันนี้ ยอมรับว่าคำตอบที่ได้น่าผิดหวัง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ จะเดินหน้าฃตรวจสอบเรื่องนี้ต่อ และแสวงหาความร่วมมือแก้ปัญหาอย่างเต็มที่"

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีคนมีสีในประเทศไทยได้รับผลประโยชน์จากขบวนการส่งต่อ "นายรังสิมันต์" ตอบกลับทันทีว่า "มีแน่นอน และอยากให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน ช่วยตรวจสอบองค์กรตัวเองให้เรียบร้อย แรงปัดกวาดองค์กรตัวเองให้เรียบร้อย ปัญหาเรื่องคนมีสีที่เข้าไปเกี่ยวข้องมีแน่นอน"

เมื่อถามว่า ข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และความมั่นคงต่างๆ มีมากพอที่จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้หรือไม่ และกระทรวงไหนเป็นเป้าหมาย "นายรังสิมันต์" กล่าวว่า ด้วยวิธีการของตน จะพยายามไม่พูดเยอะ แต่คงจะได้เห็นกัน ต้องบอกว่าทุกเรื่องมันสามารถเป็นหนึ่งในเรื่องที่ใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทั้งสิ้น และมันไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายค้านฝ่ายเดียว มันอยู่ที่พฤติกรรมของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลมีแนวทางที่ชัดเจน สามารถสร้างความความไว้วางใจได้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในเรื่องนั้นมันก็ไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าฝ่ายค้านพบว่าเรื่องนั้นๆ ทางรัฐบาลไม่มีเจตจำนงจะแก้ และสร้างความเสียหาย จนนำไปสู่ว่าสภาแห่งนี้ไม่ควรให้ความไว้วางใจกับฝ่ายบริหาร หรือรัฐมนตรี ก็สามารถเอาออกไปอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

"เรื่องคอลเซ็นเตอร์ ถูกใช้ในการอภิปรายทั่วไปมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงอภิปรายในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาล และรัฐบาลก็ได้มีการสัญญาไว้กับประชาชนว่าจะเอาจริงเอาจัง แต่สุดท้ายสิ่งที่เห็นกลับตรงกันข้าม สุดท้ายภาพลักษณ์ของประเทศถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ โดยไม่มีมาตรการใดๆ เรื่องนี้ส่งผลความเสียหายต่อประเทศ ผมไม่อยากจะสรุปว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะมีเรื่องใดบ้าง แต่ยืนยันว่าฝ่ายค้านจับตามองรัฐบาลอยู่"

ส่วนกรณี "นายทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาพูดและรัฐบาลรับลูก เป็นข้อกล่าวหาเพียงพอที่จะนำไปสู่การอภิปรายในเรื่องอำนาจรัฐบาล และภาวะผู้นำ ได้หรือไม่ "นายรังสิมันต์" ระบุว่า การที่นายทักษิณออกมาพูด ก็เป็นที่รู้กันว่านายทักษิณมีอิทธิพลต่อรัฐบาลอย่างไร แต่ตอนนี้ขอมองข้ามเรื่องนี้ไปก่อน ขอมุ่งเน้นไปที่การแก่ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ให้สำเร็จ เพราะความเสียหายกว่าแสนล้าน ซึ่งเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ไหลออก และจะส่งผลกระทบต่อปัญหาการท่องเที่ยว อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจัง และขออย่าให้เสียของ เพราะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ก็ขอให้ทำประโยชน์กับรัฐบาลบ้าง