นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึง กรณีคนร้ายลอบสังหารนายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้าน พรรคสงเคราะห์ชาติกัมพูชา หรือ CNRP เมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) เมื่อเวลา 18.00 น.ที่ย่านบางลำภูว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการกดปราบข้ามชาติ ซึ่งเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่กรณีแรก เพราะเป็นการที่ผู้ลี้ภัย หนีการประหัตประหารจากประเทศหนึ่งมาอีกประเทศหนึ่ง และมีการร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผย หรือในทางลับ ทำให้เกิดการกดปราบข้ามชาติ เหมือนกรณีของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวไทย ที่หายตัวในกัมพูชา และเมื่อเดือนที่แล้ว ทางการไทยได้ส่งตัวอดีตนักเคลื่อนไหวชาวกัมพูชากลับไปกัมพูชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นความหย่อนยานในกระบวนการกฎหมายของไทย และช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝั่งกัมพูชา มาเสียชีวิตในพื้นที่ภาคอีสานของไทยอย่างต่อเนื่อง จึงสงสัยว่า เมื่อใดรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการกดปราบข้ามชาติอย่างจริงจัง และจะต้องไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทย
ส่วนมาตรการการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือผู้ลี้ภัยทางการเมืองไม่ใช่การผลักดันกลับประเทศนั้น นายกัณวีร์ ระบุว่า ตามกฎหมายและประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศ ที่ไทยยึดมั่นอยู่แล้ว เป็นหลักการไม่ส่งกลับ โดยเฉพาะมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายที่ระบุว่า ไทยไม่สามารถผลักดันคนที่หนีการประหารกลับไปที่ประเทศต้นทางได้ แต่ที่ยิ่งเลวร้ายกว่า คือการปล่อยให้มีการประหัตประหารในพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งไทยผิดทั้งกฎหมายในประเทศ และหลักการระหว่างประเทศ แต่ทั้งนี้ ยังบอกไม่ได้ว่า เหตุการณ์ยิงครั้งนี้ เป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ จึงจะต้องสืบสวนสอบสวนอย่างโปร่งใส
นายกัณวีร์ ยังเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีว่า การคุ้มครองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยในประเทศไทย แม้ว่าไทย จะยังไม่ลงสัตยาบันในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัย แต่ไทยมีทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ และในประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และต้องขยายความให้ได้ว่า นายลิม เป็นผู้ลี้ภัยจริงหรือไม่ และต้องให้ความคุ้มครองคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะสัญชาติใด ซึ่งการที่ผู้ลี้ภัยทางการเมืองมาเสียชีวิตในประเทศไทยนั้น มีมานานแล้ว แต่เรื่องก็เงียบ เพราะฉะนั้น จะต้องให้เรื่องไม่เงียบอีกต่อไป