2 มกราคม 2568 "นายจิรายุ ห่วงทรัพย์" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า "นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช" เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปถึงนโยบายปีใหม่นี้ ที่รัฐบาลตั้งใจดำเนินการให้เป็นรูปธรรม เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวและเดินหน้าเพิ่มจีดีพีให้สูงขึ้นกว่า 3%
โดยเฉพาะแผนดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ที่วางเป้าหมายกดคันเร่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจ เดินหน้าเต็มที่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดย ตั้งเป้า 5 กลุ่มธุรกิจ การลงทุนที่สำคัญคือ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Future Industries) ได้แก่ การลงทุนด้านศูนย์ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เอไอขนาดใหญ่ (Data Center) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ระบบเกษตรแม่นยำ และอุตสาหกรรมอาหารที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ Food Technology
"เลขาธิการนายกฯ" ยืนยันว่า การลงทุนของภาครัฐในปีนี้จะมีมูค่าสูงกว่า 7-8 แสนล้านบาท โดยมี 3กระทรวงหลักที่เกี่ยวข้อง และต้องให้การสนับสนุนนักลงทุนคือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอีกหลายกระทรวงที่พร้อมเดินหน้าตามนโยบายของรัฐบาลในการปรับปรุง แก้ไขกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย
สำหรับการลงทุนของกลุ่ม Future Industries นั้น นอกจากนโยบายที่รัฐบาลจะตั้งเป้าดึงดูดการลงทุนในห่วงโซ่อุปทาน หรือการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (supply chain) ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในด้าน Data Center จากบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มาลงทุนในไทยแล้ว เช่น AWS, Google, Microsoft, Huawei ไปจนถึงการพัฒนาระบบนิเวศ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิต AI และจะเป็นอนาคตของโลก ยังจะกระตุ้นการลงทุนจากกลุ่มอุตสาหกรรม Semiconductor ควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการวิจัยและพัฒนา (R&D) อีกด้วย
"รัฐบาลจะปรับปรุง แก้ไข และออกกฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวก รองรับการลงทุนทั้งภายในและจากต่างประเทศโดยนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับอุปสรรคที่จะต้องเร่งขจัดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบ หรือกฎหมายที่เก่าล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ในโลกปัจจุบันของการลงทุน หรือประกอบธุรกิจ (Ease of doing Business) ซึ่งนโยบายของรัฐบาล มีเป้าหมายที่จะอำนวยความสะดวก และสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุนและเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ อาทิ การดำเนินการออกใบอนุญาตต่างๆ ที่มีขั้นตอนน้อยลงและง่ายขึ้น รวมถึงการลดระยะเวลาในการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ให้รวดเร็วและมีสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดนักลงทุนให้มากขึ้น เป็นต้น"
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ การค้าและการแลกเปลี่ยน และการเชื่อมโยงในทุกๆ ด้านของภูมิภาค โดยรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายในการรักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมุ่งมั่นที่จะเป็น "ผู้ส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน" (Active Promoter of Peace and Common Prosperity) ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นพื้นที่ของโอกาส ที่ดึงดูดแรงงานทักษะสูง ผู้ประกอบการและนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายเข้ามาเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย
"นายจิรายุ" กล่าวต่อว่า ปีใหม่นี้รัฐบาลจะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ สร้างโอกาสให้กับประชาชนในประเทศ พร้อมกำหนดนโยบายต่างๆ ในการเตรียมรับมือกับความท้าทายและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจของไทยอย่างการท่องเที่ยว คาดการณ์ว่าจะกลับมาฟื้นตัว สร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ ของรัฐบาลนับจากนี้ในทุกมิติที่จะเป็นแรงกระตุ้นทั้งการท่องเที่ยวภายในประเทศและจากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยรัฐบาลมั่นใจว่าจะมีตัวเลขทั้งยอดนักท่องเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ รวมทั้งกิจกรรมใหม่ๆ ที่รัฐบาลจะส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยเที่ยวได้ทั้งปี ไม่มีโลซีซั่น โดยมั่นใจว่ามูลค่าจะสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน