นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวบนเวทีการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (The APEC CEO Summit) โดยนายกรัฐมนตรี ขอบคุณที่ประเทศไทยได้รับเกียรติในครั้งนี้ และเชื่อว่า สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุก ๆ คน เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ โดยปัจจุบันพบว่า ความสูงวัย สุขภาพ และนวัตกรรมนั้นเกี่ยวกันโดยตรง ที่จะส่งผลกับโอกาสทางเศรษฐกิจในทุกด้าน ที่ทุกประเทศต้องเผชิญร่วมกัน ประเทศไทย เชื่อว่า หากประชาชนมีสุขภาพที่ดี ก็จะเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของมนุษย์ และจะเป็นความมั่งคั่งที่แท้จริงทางเศรษฐกิจไทย
“ที่ผ่านมาประเทศไทย ภูมิใจที่สามารถบรรลุเป้าหมายในนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม“โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” (Universal Health Coverage: UHC มาตั้งแต่ปี 2545 ทำให้การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ของคนไทยมีราคาไม่แพง แต่มากด้วยคุณภาพในการรักษา และเกิดความเท่าเทียมกันในสังคมสุขภาพของคนไทยทุกคน กว่า 22 ปี ของโครงการนี้ ปัจจุบันสามารถยืนยันได้ว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศ มีระบบประกันสุขภาพของรัฐ ที่ทำให้ครอบครัว และผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงระบบสุขภาพที่ดีได้ และรัฐบาลไทยในปัจจุบันเชื่อมั่นว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอีกด้วย และที่ผ่านมา ประเทศไทยและเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร (Demographic Shift) ที่ประชากรมากกว่า 20% มีอายุมากกว่า 60 ปี และไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสูง (Super Aged Society) ภายในทศวรรษหน้า ซึ่งจะทำให้กำลังในการพัฒนาประเทศลดน้อยลง รัฐบาลไทยจึงมุ่งมั่น ที่จะพัฒนาระบบสุขภาพที่ดีถ้วนหน้าหรือ UHC เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้สอดรับกับโลกปัจจุบัน“ นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในเดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้ปรับปรุงนโยบายเมื่อ 22 ปีที่แล้ว มาเป็นนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ระบบสาธารณสุขทั้งหมดมีความพร้อม ที่จะดูแลรักษาประชาชนคนไทย โดยรัฐบาลได้ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยในการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การนัดแพทย์ การส่งต่อ การวินิจฉัยโรค การสั่งยา การบริการสุขภาพ และเข้าถึงผู้คนทุกวัย โดยรัฐบาลยังกำหนดค่าใช้จ่ายไว้เพียงแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหมือนเมื่อ 22 ปีที่แล้ว เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้สึกที่ดี มีศักดิ์ศรี ที่เป็นผู้จ่ายค่าบริการ ไม่ใช่มาขอรับการรักษาฟรีจากรัฐ พร้อมขอขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ของไทยทุกคน สำหรับการบริการและความทุ่มเท โดยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ช่วยให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นโดย ประชาชนสามารถตรวจสุขภาพ หรือปรึกษาแพทย์จากที่ใด ๆ ในประเทศไทยได้ โดยปัจจุบันรัฐบาลได้เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Link) กับฐานข้อมูลของโรงพยาบาลมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และให้บริการดูแลสุขภาพอย่างไร้รอยต่อในทุกสถานพยาบาลของไทย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า เมื่อ 21 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2003 ขณะนั้น ในภูมิภาคเผชิญกับปัญหาโรคซาร์ส ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมของโลก รัฐบาลไทยในขณะนั้น ตั้งคณะทำงานด้านสุขภาพ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว และได้เปลี่ยนมาเป็น คณะทำงานด้านสุขภาพ ภายใต้กระบวนการทำงานของ APEC ในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันมีภารกิจครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงการสร้างระบบสุขภาพที่มีความพร้อมอย่างรอบด้าน และเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (2022) ไทยเป็นเจ้าภาพจัด APEC Health Week Policy Dialogue ที่กรุงเทพฯ และทำงานกับภาคเอกชนเพื่อเปิดตัวโครงการ APEC Smart Family ซึ่งเป็นการทำงานด้านนโยบาย ในรูปแบบการเพิ่มปริมาณประชากร เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัวทางประชากรในเขตเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเอเปคสนับสนุนคนในทุกช่วงวัย เพื่อให้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีความสุข และมีเป้าหมายเนื่องจากผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น เอเปคจึงมีบทบาทสำคัญ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุในระบบเศรษฐกิจ เช่น จะต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อรองรับผู้สูงวัย
ทั้งนี้ APEC มีความจำเป็น ที่จะต้องใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ เพื่อช่วยเหลือซึ่งกัน และกันในบางประเทศที่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้เพียงลำพังได้ APEC จึงจำเป็นที่ต้องใช้แนวทางความร่วมมือในทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งเอกชนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุข ที่สนับสนุนให้ประชากรสูงวัยมีชีวิตที่ดีและยืนยาวขึ้น และขอสนับสนุนให้สภาที่ปรึกษาธุรกิจเอเปค หรือ ABAC หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายในการส่งเสริมการจ้างงานสำหรับแรงงานสูงอายุ ซึ่งรวมถึงการฝึกอบรมทักษะใหม่และยกระดับทักษะอีกด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า รัฐบาลได้ให้นโยบายกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย ให้มีมาตรการทางภาษี และมาตรการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ บริการด้านสาธารณสุข และการวิจัยทางคลินิก ให้กับนักลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ ไทยมุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมกับเขตเศรษฐกิจเอเปค และสภาธุรกิจเอเปคมากขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในภูมิภาคและพื้นที่อื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (Gala Dinner) โดยประธานาธิบดีแห่งเปรูเป็นเจ้าภาพ ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเปรูด้วย