4 สิงหาคม 2567 "เนชั่นทีวี" ชวนอ่านบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องแนวโน้มการปรับ ครม. ที่มีข่าวว่าจะปรับใหญ่แบบ "สายฟ้าแลบ" ภายในเดือนสิงหาคมนี้นั้น
ซึ่งล่าสุดมีการวิเคราะห์กันว่า การปรับ ครม.แบบ "ปรับใหญ่" ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้อย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็ต้องรอผลคดีของ "นายกฯ เศรษฐา" ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 14 สิงหาคมนี้อยู่ดี
การชิงจังหวะปรับเร็วหลังรู้ผลคดียุบพรรคก้าวไกลในวันพุธที่ 7 สิงหาคม อาจไม่มีความเหมาะสม เนื่องจากอีกเพียง 7 วัน ก็ต้องลุ้นผลคดีนายกฯ เศรษฐากันอีก และหากนายกฯไม่รอด โดนสอยจากคำร้องของ 40 สว. ก็จะทำให้ ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ต้องล้างไพ่จัด ครม.กันใหม่ โดยเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ให้ได้ก่อน
หรือหากนายกฯ เศรษฐารอดคดี "ได้ไปต่อ" การจะปรับ ครม.แบบรื้อใหญ่ ก็ต้องใช้เวลา เพราะปรับเปลี่ยนหลายตำแหน่ง ต้องมีการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย "พิชิต ชื่นบาน" อีก ยิ่งหากจะมีการปรับแบบกระทบพรรคร่วมรัฐบาล ก็อาจเกิดแรงกระเพื่อม และต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ
ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับ ครม.เร็ว คือการปรับเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น เป็นการปรับตามความจำเป็นเร่งด่วนไปก่อน นั่นก็คือการเพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งขณะนี้มีตำแหน่ง "รัฐมนตรีช่วยว่าการ" ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งพอดี ในโควต้าของพรรครวมไทยสร้างชาติ จากการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ของ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการแบ่งงานในกระทรวงการคลัง
เติม รมช.กห. ถ่วงดุลบอร์ด 7 เสือแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล
สำหรับสาเหตุที่ต้องมีการปรับ ครม.เพื่อเพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าไป เพราะมีความจำเป็นในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับสูง วาระประจำปี 2567 เพราะปัจจุบันองค์ประกอบของ "คณะกรรมการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล" หรือ "บอร์ด 7 เสือกลาโหม" ยุคนี้เหลือเพียง 6 คน เพราะไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
ทำให้ฝ่ายการเมืองมีเพียงเสียงเดียวจากทั้งหมด 6 เสียง ขณะที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เหลืออีก 5 คน มีเตรียมทหารรุ่น 24 ถึง 3 คน กลายเป็นเสียงข้างมากในคณะกรรมการฯ
สำหรับ "คณะกรรมการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล" เป็นคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 ของ พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ประกอบด้วยกรรมการ 7 คน คือ
แต่ปรากฏว่าในรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้ฝ่ายการเมืองเหลือเพียงเสียงเดียว และคณะกรรมการ 7 เสือกลาโหม ก็เหลือเพียงแค่ 6 เสือด้วย
สำหรับผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 24 มีถึง 3 คน คือ
ส่วนอีก 2 คนเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 23 คือ พลเอกเจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก และ พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ โดยทั้งคู่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้พร้อมกัน ทำให้ 2 ตำแหน่งนี้ว่างลง ส่วนเตรียมทหารรุ่น 24 อีก 3 คนยังไม่มีใครเกษียณ
ฝ่ายการเมืองผวา "ตท.24" ขึ้น "ผบ.เหล่าทัพ" ยกแผง
ที่ผ่านมามีข่าวมาตลอดว่า เตรียมทหารรุ่น 24 พยายามผลักดันให้เพื่อนร่วมรุ่นขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพที่กำลังจะว่างลงทั้ง 2 ตำแหน่ง คือ ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งจะทำให้เตรียมทหารรุ่น 24 ขึ้นเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพแบบยกแผง
และที่สำคัญ เตรียมทหารรุ่น 24 ก็มีแคนดิเดตพร้อมชิงตำแหน่งด้วย
โดยในส่วนของกองทัพบก คือ พลเอก ธราพงษ์ มะละคำ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และกองทัพเรือ คือ พลเรือเอก วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เสนาธิการทหารเรือ
เรื่อง "รุ่นเตรียมทหาร" ขึ้นเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพรุ่นเดียวกันยกแผง สร้างความกังวลให้กับฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เนื่องจากในอดีตเคยถูกยึดอำนาจจากคณะนายทหารที่นำโดย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี 2549 ซึ่งในยุคนั้นผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. ล้วนเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 6 รุ่นเดียวกันทั้งหมด
นอกจากนั้น ในอดีตเมื่อปี 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ซึ่งนำโดยนักเรียนนายร้อย จปร.รุ่น 5 ทุกเหล่าทัพ ก็เคยทำรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มาแล้วเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ฝ่ายการเมือง โดยพรรคเพื่อไทย จึงมีความต้องการปรับ ครม.แบบ "ปรับเล็ก" ตำแหน่งเดียวไปก่อน เพื่อภารกิจจำเป็นเร่งด่วนในการ "ถ่วงดุล" หรือ "ปรับโมเมนตัม" ใน "คณะกรรมการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล" เพื่อให้สามารถกำหนดทิศทางของโผโยกย้ายผู้บัญชาเหล่าทัพได้บ้าง แตกต่างจากปัจจุบันที่เกือบจะไม่มีอำนาจต่อรองเลย
ที่สำคัญ เตรียมทหารรุ่น 24 ก็เคยแสดงพลังมาแล้ว ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารวาระกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการผลักดันให้เพื่อนร่วมรุ่นที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ ขึ้นเป็นนายพลทั้งหมด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้เสียด้วย