svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

“พิธา” อ้อนคนเชียงใหม่เลือก "พันธุ์อาจ" นายกอบจ. ใช้นวัตกรรมแก้ปัญหา

“พิธา” อ้อนคนเชียงใหม่ เลือก "พันธุ์อาจ" เป็นนายกฯนวัตกรรม ลั่นหากมาน้อยระบบจัดตั้งชนะแน่ ลั่นพร้อมทำงานร่วม 7 สส.ก้าวไกล ผุดไอเดียแก้ปัญหาธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี

20 กรกฎาคม 2567 เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปราศรัยในงาน Policy fest จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 3 และเป็นครั้งแรกในภาคเหนือ เพื่อเปิดตัว นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ 

นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งอบจ. แตกต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติ เพราะไม่สามารถไปเลือกตั้งล่วงหน้า นอกพื้นที่หรือต่างประเทศได้ อย่างจังหวัดปทุมธานีคนมาใช้สิทธิ์เพียงแค่ครึ่งเดียว แต่เลือกตั้งใหญ่คนปทุมธานีใช้สิทธิ์เกิน 70% ขณะที่เมื่อวานนี้ไปลำพูน เมื่อดูตัวเลขแล้วเห็นว่าไม่มีใครหายจากการเลือกระดับชาติ 250,000 คน เลือกตั้งท้องถิ่นมีประมาณ 240,000 คน แต่เมื่อมาดูการเลือกตั้งของชาวเชียงใหม่ สมัยนายกอบจ. ปี 2563 จาก 1,000,000 คนใช้สิทธิ์อยู่แค่ 800,000 คน และหากเป็นแบบนี้ พรรคก้าวไกลก็คงมีสิทธิ์แพ้ 

 

โดยย้ำถึงความสำคัญว่าการเลือกนายกอบจ. สำคัญไม่แพงกับการเลือกตั้งใหญ่ งบอบจ.เชียงใหม่ ประมาณ 1,800 ล้าน ที่เป็นภาษีของประชาชน ไม่ออกไปเลือกและนายก ที่ได้มาไม่ถูกใจ แล้วจะยอมให้นำเงินงบประมาณไปบริหารได้อย่างไร การเลือกตั้งผู้ว่าฯตนก็อยากให้เกิดขึ้น เมื่อครั้งที่นายพริษฐ์ วัชระสินธุ และ นายปิยะบุตร แสงกนกกุล เคยร่างกฎหมายไว้แต่ก็ถูกสภาคว่ำไป ซึ่งการเลือกตั้งนั้นตนก็เข้าใจว่าหลายคนจะต้องปิดร้าน หยุดทำมาหากิน แต่ก็ขอว่าไม่อยากให้เสียชื่อคนเชียงใหม่ และอยากให้ได้เท่ากับการเลือกตั้งปี 2566

เมื่อถามว่า ทำไมการเลือกครั้งนี้ต้องเป็นนายพันธุ์อาจ นายพิธา ระบุว่า มีคำจำกัดความสำหรับว่าที่ผู้สมัครคนนี้ คือ "นายกนวัตกรรม" เนื่องจากตั้งแต่ที่ตนรู้จักก่อนหน้านี้นับ 10 ปี ก็รู้จักกันในฐานะกรรมการตัดสินกิจกรรมหนึ่ง รวมทั้งนายพันธุ์อาจ เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ และมีความรู้ความเชี่ยวชาญ การศึกษาจากประเทศเดนมาร์ก แต่ก็ไม่ได้ใช้คำนำหน้าว่าด็อกเตอร์ ซึ่งที่กล่าวมานี้ไม่ได้จากอวดอ้างว่าแคนดิเดตของพรรคก้าวไกลเรียนจบนอก จากยุโรป แต่อยากให้รู้ว่าแคนดิเดตที่มาลงสมัครนั้นสามารถทำอะไรได้มีนโยบายอะไรบ้าง จากสถานการณ์3 เดือนเผา 5 เดือนแอ่ว 7 เดือนดั๊กปิ้ง ที่เกิดขึ้นของเขียงใหม่ 

อีกทั้งยังเท้าความกลับก่อนหน้า ที่จะหาตัวแทนเป็นผู้สมัคร สส. หรือนายกอบจ. ก็ยาก แต่ขนาดนี้พักใหญ่ขึ้นมีชื่อเสียงก็หลากหลายหลายคนที่จะฝากเข้ามาให้เป็นผู้สมัครในตำแหน่งต่างๆ ซึ่งก็ย้ำว่าทรงนี้พรรคก้าวไกลที่มีนโยบายและนายพันธุ์อาจ ก็ไม่ได้ร้องขอตนในเรื่องนี้ด้วย

ส่วนผลที่จะได้หลังจากนายพันธุ์ อาจเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้น คือการนำนวัตกรรมที่ขึ้นหิ้ง มาแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน เป็นเทคโนโลยีแจ้งความเหลื่อมล้ำไม่ใช่ผูกโบว์ตัดริบบิ้นกันอย่างเดียว เพราะขณะนี้ชาวเชียงใหม่รู้สึกว่าเทคโนโลยีไร้ประโยชน์เพราะไม่ได้นำมาใช้ช่วยเหลืออย่างจริงจัง 

นายพิธา ทิ้งท้ายว่า อยากให้กลับบ้านไปทบทวนการปราศรัยครั้งนี้ ว่าเราจะทำให้การเลือกตั้งอบจ. เหมือนกับระดับชาติ ซึ่งตนก็อยากให้ถึงหลักล้าน หากมาน้อยระบบจัดตั้งก็จะชนะแน่นอน

จากนั้นนายพิธา ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่าถึงความมั่นใจในฐานเสียงสนามเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ว่า หากคุยกันด้วยวิทยาศาสตร์และตัวเลขมีน้ำมีเนื้อที่จะพอชนะได้  แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะการเลือกตั้งท้องถิ่นต่างจากการเลือกตั้งระดับชาติ ต้องมีการทำงานร่วมกัน เพื่อคว้าชัยชนะมาให้ได้

กรณีที่มีความพยายามจะทวงคืนพื้นที่ นายพิธา ระบุว่า ในทางการเมือง การแข่งขันเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะการสร้างนโยบาย และการบริหารจัดการในแต่ละพื้นที่  นวัตกรรมแบบใดที่เหมาะสมกับปัญหา ยิ่งการแข่งขันเยอะยิ่งมีประสิทธิภาพ ตนเองนิยามนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ว่าเป็น “นายกฯ นวัตกรรม” เพราะเคยไปอยู่ที่เดนมาร์กและเป็นผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ หวังว่าจะนำนวัตกรรมที่อยู่บนหิ้งมาแก้ไขปัญหาให้กับชาวเชียงใหม่ให้เห็นเป็นรูปธรรม หากนายพันธุ์อาจทำไม่ได้ก็ไม่มีนายก อบจ.คนไหนทำได้ใกล้เคียง อย่างไรก็ตามต้องให้นายพันธุ์อาจได้พิสูจน์ฝีมือด้วย 

ส่วนการดึงนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ หรือ น้องชายของนางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ มานั่งเป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งนายก อบจ.นั้น นายพิธา ระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมาได้ขึ้นเวทีที่จังหวัดเชียงใหม่คุยกันเรื่องการกระจายอำนาจ จึงได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นทำให้เห็นว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นเหรียญสองด้าน อาจจะกลายเป็นนรกของบางคนเพราะมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดเป็น TOO5 นอกจากนี้ยังมีปัญหาความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ และว่างงาน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่นายพันอาจได้พิสูจน์ฝีมือ และยังต้องทำงานอย่างไร้รอยต่อกับการเมืองระดับชาติ โดยจังหวัดเชียงใหม่มี สส.จากพรรคก้าวไกล 7 คน  ซึ่งหากแก้ปัญหาได้จริง จะถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้พรรคอื่นไม่สามารถแข่งกับเราได้

ส่วนการดึงคำว่า “นวัตกรรม” มาใช้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องไกลตัวหรือไม่ เพราะวันนี้ทุกคนนั่งดูจุดฮอตสปอต และดาวเทียม   GISTDA ทุกคนอยากเห็นนวัตกรรมการป้องกันก่อนเกิดไฟป่า ประชาชนเห็นแล้วว่าเรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ เป็นเรื่องเดียวกันกับปัญหาปากท้อง นอกจากนี้เชียงใหม่ยังประสบปัญหาน้ำท่วมฉับพลันเป็นอันดับต้นของประเทศ ควรจะมีเซ็นเซอร์เตือนภัยล่วงหน้า เชื่อว่านายพันอาจจะทำได้จากประสบการณ์ที่มี หากทำไม่ได้ก็ยังจะมีทีมนวัตกรรมของพรรคคอยหนุนหลัง