ที่อาคารรัฐสภา นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภาว่า ช่วงเวลาเหลืออยู่วุฒิสภาไม่สามารถที่จะทำอะไรไม่ทัน และการเสนอตั้งสติดังกล่าวจะต้องใช้เวลาศึกษาตรวจสอบ 30 วัน จึงเห็นว่าการตั้งยุติดังกล่าวจะเป็นการเปิดอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์ กกต. โดยตรง ซึ่งหากวันนี้มีการประกาศรับรอง สว.ใหม่ ทุกอย่างคือจบ
ส่วนตัวเห็นว่า ญัตติดังกล่าวไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ นอกจากเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียน ถล่ม กกต. และก็ถือว่าเป็นการกลับบ้าน เพราะไม่สามารถดำเนินการได้ จน เป็นมรรคเป็นผลอะไร กว่าจะทำอะไรได้เสร็จลิเกก็เลิกแล้ว ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์อยู่ทุกวันว่าการเลือก สว. เรื่องของการบล็อคโหวตและการจัดตั้ง ซึ่งเป็นที่รู้กันและ กกต. ต้องแก้ไขปัญหาต่อไป และทุกฝ่ายจะต้องพิจารณาทบทวนว่าระบบการเลือกเลือก สว. เช่นนี้ควรมีต่อไปหรือไม่
นายวันชัยกล่าวว่าแล้วแต่มุมมองกรณีที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์การเสนอตั้งญัตติของสมาชิกวุฒิสภาว่าเป็นการเสียมารยาท ซึ่งหลายคนก็เห็นว่าเมื่อมีการเลือก สว. มาแล้วก็ต้องควรรอให้ สว. ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ส่วนอีกฝ่ายที่เห็นต่างมองว่ามีเวลาแม้วินาทีสุดท้ายก็ต้องทำหน้าที่ แต่ส่วนตัวเห็นว่างานนี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการวิพากษ์วิจารณ์ กกต. จึงเรียกร้องให้มีการประกาศรับรองผลการเลือกโดยเร็ว
“ถ้าดูแล้วว่ามีปัญหาหรือมีปัญหาที่จะต้องดำเนินการใดใดค่อยไปว่ากันต่อไป แต่การปล่อยทิ้งช่วงเวลาให้เนิ่นนานเกินไป รังแต่จะก่อให้เกิดปัญหา ทั้งผู้ที่ได้รับการเลือกมา ในขณะที่คาราคาซังก็ทำให้ สว. ชุดเก่าไม่แน่ใจว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนเพียงไร ทั้งหมด กกต. จะต้องรับผิดชอบต่อผลการเลือก และงานต่างๆที่จะเกิดขึ้นจะช้าหรือเร็วก็ต้องโดนถล่มอยู่แล้ว เพราะผลออกมาเป็นที่ประจักษ์ว่ามีการบล็อกโหวตมีการจัดตั้งมีการเตรียมการมีการวางแผนทั้งหมดไม่พ้นสายตาประชาชนที่จะถล่ม กกต.และ สว. ชุดเก่าก็เตรียมถล่มในการอภิปรายวันนี้“ นายวันชัยกล่าว
นายวันชัย กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าธงการเสนอญัตติครั้งนี้หากผู้ที่ได้ดูดีคือการถอดบทเรียน ศึกษาตรวจสอบหาข้อมูล แต่ส่วนตัวมองว่าเป็นการถล่ม กกต. วิพากษ์วิจารณ์ถึงความบกพร่องผิดพลาดของการจัดการเลือก สว. แต่จะทำให้เป็นผลงานเชื่อว่าทำไม่ทัน เป้าจริงๆคนที่ดำเนินการในเรื่องนี้ต้องการชี้เห็นถึงข้อบกพร่องทั้งมวลของ กกต. และบุคคลที่ได้เข้ามาเป็น สว. รวมทั้งกระบวนการต่างๆที่จะมาใช้เห็นโดยใช้เวทีสภา และถือเป็นการทบทวนและกลับบ้าน และจากนี้ก็เป็นเรื่องของ ผู้ที่จะไปแก้รัฐธรรมนูญในอนาคตพิจารณาว่า จะยังให้มี สว. ด้วยระบบนี้หรือไม่ พร้อมกับชี้ว่าระบบการเลือก สว. ล้มเหลวและบกพร่องผิดพลาดควรจะต้องแก้ไข หรือหากจะไม่มีวุฒิสภาให้มีสภาเดียวก็ว่ากันว่ากันไป ทั้งนี้ยืนยันว่าการยื่นญัตติไม่มีใบสั่ง แต่เป็นการทำหน้าที่แบบ “ใจสั่งมา”
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงหลักในการเลือกประธานวุฒิสภา หลังมีกระแสข่าวว่าประธานวุฒิสภาจะมาจากการเมืองสายสีน้ำเงินว่า ว่าการเมืองต้องอาศัยพวกมาก ไม่ว่ายุคไหน แปลว่าต้องรวมพลรวมคนให้ได้มากที่สุด หากยุคนี้จะเป็นสายไหนสีไหนหากรวมพลได้มากก็ได้เป็นประธานวุฒิสภา เป็นรองประธาน ก็เป็นเรื่องปกติ ใครได้เสียงน้อยคนนั้นก็ไม่ได้ ไม่ได้มีอะไรแปลกกว่าทุกสมัย