ฮิซบอลเลาะห์ติดต่อตัวเต็งผู้นำใหม่ไม่ได้ หลังอิสราเอลถล่มเบรุต

แหล่งข่าวความมั่นคงของเลบานอน เผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ขาดการติดต่อกับฮาเชม ซาฟีดดีน หนึ่งในตัวเต็งที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของฮิซบอลเลาะห์ต่อจากฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ตั้งแต่วันศุกร์ (4 ตุลาคม) หลังจากอิสราเอลโจมตีทางอากาศในย่านดาฮิเยห์ ในกรุงเบรุต ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฮิซบอลเลาะห์

ซาฟีดดีน วัย 60 ปี เป็นประธานคณะบริหารของฮิซบอลเลาะห์ และลูกพี่ลูกน้องของนาสรัลเลาะห์ อดีตเลขาธิการของฮิซบอลเลาะห์ ปกติแล้วข้อมูลเกี่ยวกับผู้บัญชาการฮิซบอลเลาะห์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเปิดเผยนัก และชื่อของซาฟีดดินเพิ่งปรากฏขึ้นหลังหลายคนเชื่อว่า เขาจะขึ้นเป็นเลขาธิการคนใหม่ของกลุ่มแทนนาสรัลเลาะห์ที่ถูกสังหารจากการโจมตีของอิสราเอลในกรุงเบรุตเมื่อปลายเดือนที่แล้ว

แต่สื่อของฮิซบอลเลาะห์ออกแถลงการณ์ว่า รายงานข่าวที่อ้างแหล่งข่าวในกลุ่มเกี่ยวกับชะตากรรมของเจ้าหน้าที่ฮิซบอลเลาะห์ล้วนเป็นข่าวลือที่ไร้ค่า และแถลงการณ์ที่ออกโดยสื่อของฮิซบอลเลาะห์เท่านั้นถึงจะมีความถูกต้อง

ขณะที่นักวิเคราะห์ มองว่า การขาดการติดต่อกับซาฟีดดีนเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า หน่วยข่าวกรองของฮิซบอลเลาะห์อาจถูกแทรกซึมแล้ว ทำให้อิสราเอลสามารถรู้ตำแหน่งและโจมตีแกนนำคนแล้วคนเล่า และเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่อีกครั้งของฮิซบอลเลาะห์ การใช้คำว่าขาดการติดต่ออาจเป็นความพยายามให้ผู้สนับสนุนฮิซบอลเลาะห์เตรียมใจสำหรับการประกาศยืนยันการเสียชีวิตที่จะตามมา

กองทัพอิสราเอลกำลังประเมินผลการโจมตีเมื่อวันศุกร์ ที่ยืนยันว่า พุ่งเป้ากองบัญชาการข่าวกรองของฮิซบอลเลาะห์

อิสราเอลเปิดการโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วงทั่วเลบานอนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว หลังโจมตีและตอบโต้ข้ามพรมแดนกับฮิซบอลเลาะห์มานานหนึ่งปี โดยภารกิจขณะนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้ชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนที่หนีภัยจากชายแดนทางภาคเหนือกลับเข้าสู่ถิ่นฐานได้อย่างปลอดภัย

และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอิสราเอลเริ่มปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินอย่างจำกัดทางภาคใต้ของเลบานอน ควบคู่กับการโหมโจมตีทางอากาศในพื้นที่ดังกล่าว และตอนใต้ของกรุงเบรุต

อิสราเอลอ้างว่าสังหารนักรบฮิซบอลเลาะห์ได้ 440 ราย จากการบุกภาคพื้นดิน และทำลายเป้าหมายฮิซบอลเลาะห์ได้ 2,000 เป้าหมาย แต่ฮิซบอลเลาะห์ไม่ได้เผยตัวเลขความสูญเสีย

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุว่า การโจมตีของอิสราเอลช่วงสองสัปดาห์ทำให้มีชาวเลบานอนเสียชีวิตกว่า 2,000 คน และอีก 1.2 ล้านคน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน