จากกรณีที่เฟซบุ๊กของ "จักรภพ เพ็ญแข" ซึ่งมีข้อความพร้อมรูปภาพ ขณะนั่งจิบกาแฟ โดยระบุว่า "พฤ. 28 มี.ค. 67 เวลา 07.35 น. กลับไปรับใช้ เมืองไทยครับ"
ทำให้ทุกสายตาจากเหล่าคอการเมืองต่างจับจ้อง เพราะนับเป็นการเดินตามรอย "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ที่ได้เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566 หลังต้องไปพำนักยังต่างประเทศมาเป็นเวลาหลายปี
ทำความรู้จัก "จักรภพ เพ็ญแข"
หากย้อนกลับไป "จักรภพ เพ็ญแข" ก่อนจะเข้าสู่ถนนสายการเมือง เติบโตมาจากการเป็นผู้ดำเนินรายการโทศทัศน์ให้หลายช่อง ร่วมกว่า 10 ปี กับเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ สวมแว่นตาอันโตและทรงผมเรียบแปล้ พร้อมกับฝีปากวาจาอันฉะฉาน จนสร้างภาพจำให้ใครหลายคนยุคนั้น
กระทั่งผลเข้าตารัฐบาลทักษิณ 1 จึงแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกฯ ก่อนที่เวลาต่อมา "จักรภพ" จึงเข้าสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัว เมื่อปี 2548 และปี 2549 ในนามผู้สมัคร สส.กรุงเทพ พรรคไทยรักไทย แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ทั้ง 2 ครั้ง ก่อนต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการนายกฯ ในรัฐบาลทักษิณ 2
ผู้ร่วมก่อตั้ง PTV สู่แกนนำ นปช.
ภายหลังเกิดรัฐประหาร เมื่อปี 49 และพรรคเพื่อไทยถูกยุบ "จักรภพ" ถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลในการร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "พีทีวี" หรือ People television โดยยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์การเมือง และยังเป็นหนึ่งในแกนนำ นปก. ก่อนพัฒนากลายเป็น นปช.
โดยภายหลังคลื่นลมการเมืองสงบ "จักรภพ" ถูกแต่งตั้งในรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โดยมีหน้าที่กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ คือ สถานที่โทรทัศน์ช่อง 11 หรือ “เอ็นบีที” ในปัจจุบัน
เหตุผลให้ต้องระหกระเหิน
แม้ "จักรภพ" จะมีบทบาทสำคัญ ทั้งการเมืองภาคประชาชน รวมถึงการเมืองบนเวทีใหญ่ แต่ชนวนเหตุให้ต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน สืบเนื่องจากการปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย หรือ เอฟซีซีที เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2550
ซึ่งได้พูดช่วงหนึ่ง ถึงกรณีที่ตัวเองถูกจับกุมในฐานะแกนนำ บริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และการบรรยายเป็นภาษาไทยต่อเครือข่ายคนรักทักษิณ ที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ในปีเดียวกัน เพราะมีเนื้อหาล่อแหลม
ก่อนเป็นประเด็นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งความต่อกองปราบ เพื่อดำเนินคดีตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากประเด็นนี้ ทำให้ฝ่ายค้านเวลานั้น คือ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้มีการทำหนังสือถึง สมัคร เพื่อให้พิจารณาปลดจากตำแหน่ง
ทว่า เรื่องราวดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง จนวันที่ 30 พ.ค. 2551 "จักรภพ" จึงได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลต่อการตัดสินใจ ก็เพื่อให้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง
จนในวันที่ 20 เม.ย. 2552 "จักรภพ" ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพี ผ่านทางโทรศัพท์เป็นที่แรก พร้อมกับยืนยันว่าตัวเองได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว
หายตัวแต่ไม่หายหน้า
"จักรภพ" แม้จะหายหน้าจากเมืองไทยไป แต่ก็ยังคงเคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศ โดยได้จัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร ร่วมกับ "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" อดีต รมว.มหาดไทย สมัยรัฐบาลนารีขี่ม้าขาว ซึ่งหลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศเช่นกัน โดยได้วิพากษ์ถึงสถานการณ์การเมืองในไทย
ต่อมาในการรัฐประหาร วันที่ 22 พ.ค. 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 49/2557 เรียกให้ "จักรภพ" เข้ารายงานตัว แต่ก็ไม่ได้มาตามคำสั่ง เป็นเหตุให้ศาลทหารจึงออกหมายจับ 1 ข้อหา ฝ่าฝืนการไปรายงานตัว ในวันที่ 23 มิ.ย. 2558 และวันที่ 28 มิ.ย. 2558 อีก 1 หมายจับ ข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง รวมแล้วเขาถูกศาลทหารออกหมายจับ 2 หมายจับ
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 7 ธ.ค. 2560 ศาลอาญาได้ออกหมายจับ เลขที่ 2692/60 ใน ข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายและเป็นอั้งยี่
สำหรับประวัติ "จักรภพ เพ็ญแข"
ทั้งหมดเป็นเพียงภาพรวมพอสังเขป และนับจากนี้ต้องมาจับตากันต่อจากนี้จะมีใครที่เคยหลบหนีเดินทางกลับเข้าประเทศอีกบ้าง