แม้มีความพยายามอย่างมากที่ต้องการทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการจัดหา จบลงก่อนที่รัฐบาลใหม่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง 2566 เพราะ "กองทัพเรือ" ตระหนักดีว่า หากเกิดการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ปัญหา "เรือดำน้ำ" ไทยน่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องนำมาพิจารณา และอาจนำไปสู่การทบทวนด้วย
"ศ.กิตติคุณ ดร. สุรชาติ บำรุงสุข" ให้ความเห็นไว้ว่า ที่จริงปัญหา "เรือดำน้ำ" เกิดเป็นข่าวในสื่อมวลชนมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันอย่างชัดเจนแล้วว่า "รัฐบาลจีน" ไม่สามารถจัดหาเครื่องยนต์ให้แก่เรือดำน้ำที่ราชนาวีไทยสั่งต่อ
กล่าวคือ "จีน" ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขสัญญาที่ต้องใช้เครื่องยนต์ของเยอรมนี (MTU 396) ในเรือดำน้ำดังกล่าว หรืออาจกล่าวในทางสัญญาจัดซื้อจัดหาคือ เกิดการที่ผู้รับสัญญาไม่อาจดำเนินการตาม TOR ที่ลงนามไปแล้วนั่นเอง
หากเราติดตามข่าวสารมาอย่างต่อเนื่องจะเห็นได้ว่าในรัฐบาลชุดที่แล้วนั้น ปัญหาเรือดำน้ำ กลายเป็นความคลุมเครือ ที่กระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือ ไม่เคยมีคำตอบอย่างแท้จริงให้แก่สังคม ซึ่งอาจเป็นเพราะเกิดสภาวะ "กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก" เพราะการตัดสินใจครั้งนี้อาจส่งผลกระทบทางการเมืองได้ด้วย
ดังนั้น เมื่อปัญหา "เรือไร้เครื่อง" เกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฏเป็นข่าวคือ มีความพยายามอย่างมากที่จะหาหนทางประนีประนอมกับจีน เพื่อแก้ปัญหานี้ ด้วยการหาทางเปลี่ยนสัญญาจัดซื้อ "เครื่องยนต์เยอรมัน" ไปเป็น "เครื่องยนต์จีน" (CHD 620) แทน
ซึ่งแน่นอนว่า การเปลี่ยนเช่นนี้ย่อมมีนัยทั้งทางกฎหมาย และทางทหาร (ปัญหาทางยุทธการ) ควบคู่กันไป ทั้งยังจำเป็นต้องอาศัย "มติคณะรัฐมนตรี" ในการดำเนินการ ซึ่งกองทัพเรือโดยกระทรวงกลาโหมไม่สามารถดำเนินการได้เองโดยพลการ ภาวะเช่นนี้ทำให้ปัญหาเรือดำน้ำเป็น "บททดสอบ" ที่ท้าทายการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ที่เป็นพลเรือน
อย่างไรก็ตาม ผู้นำทหารบางส่วนดูจะมีท่าทีแบบ "ยอมจำนน" กล่าวคือเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จีนจะเสนออะไร ผู้นำทหารไทยก็ต้องยอมรับ โดยไม่คำนึงว่า ข้อเสนอนั้นจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสัญญาจัดซื้อเพียงใด และจะมีผลในทางกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ท่าทีแบบยอมจำนนเช่นนี้ ทำให้เกิดสถานะ "ผู้ซื้อที่ไร้อำนาจต่อรอง"
ภาวะของการจัดซื้อแบบเป็น "เบี้ยล่าง" เช่นนี้ ทำให้ไทยกลายเป็นผู้ซื้อที่ต้องหาหนทางประนีประนอมกับจีน แบบยอมจำนน ทั้งที่ปัญหาไม่ได้เกิดจากฝ่ายไทย จนทำให้เกิดคำถามตามมาลับหลังว่า ผู้ขายให้อะไรเป็นผลประโยชน์ตอบแทนแก่บรรดา "ผู้นำทหารในระดับบน" ตลอดรวมถึงผู้เกี่ยวข้องที่มีอำนาจในกองทัพไทยหรือไม่
ปัญหาเช่นนี้ทำให้เกิดการตีความจากสังคมว่า "เรือใต้น้ำ" กลายเป็น "เรือใต้โต๊ะ" ซึ่งย่อมไม่เป็นผลดีต่อกองทัพเรือ และต่อกองทัพโดยรวม เพราะสังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพ
นอกจากนี้ น่าแปลกใจว่าราชนาวีไทยไม่เคยแสดงบทบาทเป็น "smart buyer" ซึ่งส่งผลให้เมื่อผู้ขายผิดสัญญาในสาระสำคัญในกรณีการเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำนั้น ฝ่ายทหารเรือไทยบางส่วนที่เป็นผู้ซื้อกลับยอมคิดตอบรับตามข้อเสนอของจีนแบบง่าย ๆ ว่า"ปลอดภัย-ไร้กังวล"
ทั้งที่การเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นประเด็นที่ผู้ซื้อต้องวินิจฉัยด้วยความ "ใคร่ครวญและรอบคอบ" และต้องไม่เริ่มคิดด้วยความต้องการเฉพาะหน้า ที่มีความต้องการเรือดำน้ำแบบด้านเดียว และยืนอยู่บนคำอธิบายของยุทธศาสตร์ทางทะเลประการเดียวว่า "ทร." ไทย จะต้องมีเรือดำน้ำ ถ้าปราศจากเรือดำน้ำแล้ว "ทร." จะไม่มีพลังอำนาจ หรือเกิดการเสียสมดุลของกำลังรบทางทะเล
สิ่งที่ราชนาวีไทยจะต้องตอบให้ได้คือ "เครื่องยนต์จีน" มีประสิทธิภาพเท่ากับเครื่องยนต์เยอรมันจริงหรือไม่ การเอาเครื่องเรือรบบนผิวน้ำมาใช้กับเรือดำน้ำตามข้อเสนอของจีน เป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ หากเกิดปัญหาทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพและความปลอดภัยของชีวิตลูกเรือไทยแล้ว ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ (ดังจะเห็นได้จากปัญหาเรือหลวงสุโขทัยจม จนบัดนี้ยังไม่ปรากฏความรับผิดชอบที่สังคมจะได้เห็น)
นอกจากนี้ ในความเป็นจริงของธุรกิจอาวุธในเวทีโลกนั้น ตลาดไม่ใช่ผูกขาดเป็น "ตลาดผู้ขาย" เพียงฝ่ายเดียวเช่นในอดีต จนทหารไทยต้องยอมให้กับรัฐผู้ขายเสมอ เพราะความต้องการอาวุธ แต่ตลาดอาวุธสมัยใหม่ เป็น "ตลาดผู้ซื้อ" ที่ผู้ซื้อมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น อันเป็นผลจากการแข่งขันของผู้ผลิตอาวุธในตลาดโลก ดังนั้น กระทรวงกลาโหมและผู้นำทหารไทยอาจต้องเปลี่ยนชุดความคิดให้เป็น "smart buyer" มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีข่าวสารที่ปรากฏในสื่อจีนว่า จีนจะให้ ทร. ไทยยืมเรือดำน้ำเก่า (เรือมือสอง) ของจีน (T 039A) มาใช้ "แก้ขัด" ไปพราง ๆ ก่อน จนกว่าไทยจะมั่นใจที่จะยอมรับเครื่องยนตร์จีน เพื่อที่ไทยจะได้นำเรือดำน้ำดังกล่าวเข้าประจำการในอนาคต และสื่อจีนมองว่า ไทยตอนนี้ "หมกมุ่นเครื่องยนต์เยอรมัน" มากเกินไป
ข่าวนี้น่าจะเป็นดังการ "โยนหินถามทาง" เป็นสัญญาณว่า จีนต้องการแก้ปัญหาในแบบใด ซึ่งแนวทางเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีแต่อย่างใด (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน "สื่อจีนเผยไทยขอเรือดำน้ำ Type 039A มือ 2 ใช้งานช่วงเปลี่ยนผ่าน ชดเชยผิดสัญญาเครื่องยนต์", สำนักข่าวอิศรา, 8 กันยายน 2566)
ถ้าพิจารณาความต้องการเฉพาะหน้าแล้ว บางทีทางออกที่น่าสนใจน่าจะเป็นการ "แลกเรือ" ระหว่างเรือดำน้ำที่มีปัญหา กับ "เรือคอร์เวต" เพื่อทดแทนต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเรือรบหลวงสุโขทัย เพราะแม้นว่าทร. จะประสบความสำเร็จในการกู้เรือดังกล่าวได้ แต่ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูให้เรือนี้กลับสู่ภาวะปกติ อาจจะมีมูลค่าสูง จนอาจจะเป็นภาระด้านงบประมาณอย่างมากในอนาคต
การแลกเช่นนี้ จะเป็นผลได้ของทุกฝ่ายคือ "win-win" ทั้งไทยและจีน และไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งไปต่อรองกับเยอรมนีเพื่อ "ขอเครื่องยนต์" ซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหามากขึ้น และอาจทำให้เยอรมนีเกิด "ความอึดอัด" ในทางการทูต เพราะเป็นปัญหาระหว่างไทยกับจีน
ดังนั้น เพื่อที่จะยุติปัญหา "เรือไร้เครื่อง" แล้ว บางทีการมีเรือคอร์เวตเพื่อทดแทนเรือสุโขทัย ที่แม้จะไม่ใช่เรือในชั้น "รัตนโกสินทร์" โดยตรง ก็อาจจะทางออกที่น่าจะดีที่สุดสำหรับประเทศทั้งสอง เพราะถ้าเราสามารถกู้เรือขึ้นมาได้จริง ค่าซ่อมบำรุงที่จะฟื้นเรือให้กลับมาเหมือนเดิม อาจจะเป็นไปไม่ได้ และไม่คุ้มค่าโดยเฉพาะกับปัญหาอายุเรือที่ต่อมาตั้งแต่ปี 2527 แต่จะต้องกู้เรือให้ได้ เพื่อเรียนรู้ถึงปัญหาที่นำไปสู่ความสูญเสีย และเป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของนายทหารและลูกเรือของเรือรัตนโกสินทร์ที่ยังอยู่ในประจำการ
ฉะนั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์กับเรือรบหลวงสุโขทัยประสบปัญหา ถ้า "ทร." สามารถแลกคอร์เวต จากจีนมาทดแทนแล้ว ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาการวางแผนกำลังรบทางทะเลได้จริง มากกว่ายึดติดอยู่กับการมี "เรือดำน้ำ" แบบตายตัว !