แชมป์เก่า สเปน และ ฝรั่งเศส ต้องดวลจุดโทษเพื่อผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของศึก ยูฟ่า เนชันส์ ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่เยอรมนี และ โปรตุเกส ก็ได้ตั๋วเข้าสู่รอบตัดเชือกเช่นกัน
สเปนเสมอกับเนเธอร์แลนด์ 3-3 หลังต่อเวลาพิเศษในเลกที่สอง ทำให้ผลรวมอยู่ที่ 5-5 ก่อนที่ เปดรี มิดฟิลด์ของบาร์เซโลนาจะยิงจุดโทษตัดสิน หลัง อูไน ซิมง เซฟลูกยิงของ ดอนเยลล์ มาเลน ช่วยให้สเปนชนะจุดโทษ 5-4
ฝรั่งเศสก็ชนะการดวลจุดโทษด้วยสกอร์เดียวกันกับโครเอเชีย หลังจากที่นำ 2-0 ใน 90 นาทีและทำให้ผลรวมเสมอกัน จนต้องต่อเวลาพิเศษซึ่งไม่มีการทำประตูเพิ่ม ดาโยต์ อูปาเมกาโน ยิงจุดโทษตัดสิน ขณะที่ไมค์ เมญอง นายทวารฝรั่งเศสเซฟลูกยิงของ โยซิป สตานิซิช ได้อย่างยอดเยี่ยม
เยอรมนียิงสามประตูในครึ่งแรกใส่อิตาลี ก่อนจะเสมอ 3-3 และชนะด้วยสกอร์รวม 5-4 จาโคโม ราสปาโดรี ยิงจุดโทษช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้ทีมอิตาลีมีโอกาสไล่ตีเสมอ แต่ไม่เพียงพอที่จะไปต่อเวลาพิเศษ
โปรตุเกสพลิกชนะเดนมาร์ก 5-2 หลังต่อเวลาพิเศษที่ลิสบอน แม้จะแพ้ในเลกแรก 1-0 ฟรานซิสโก ตรินเกา ยิงสองประตูสำคัญในช่วงท้ายเกม ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ พลาดจุดโทษตั้งแต่ต้นเกม
รอบรองชนะเลิศจะเริ่มในวันที่ 4 มิถุนายน โดยเยอรมนีจะพบกับโปรตุเกสที่มิวนิค และวันที่ 5 มิถุนายน ฝรั่งเศสจะพบกับสเปนที่สตุ๊ตการ์ท ส่วนรอบชิงชนะเลิศจะมีขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน
คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ยิงประตูให้ทีมชาติฝรั่งเศสไม่ได้เป็นนัดที่ 7 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของเขา และยังคงหยุดอยู่ที่ 48 ประตู
ไมเคิล โอลิเซ่ ยิงฟรีคิกสุดสวยในนาทีที่ 52 ให้ฝรั่งเศสกลับสู่เกม ก่อนจะจ่ายให้ อุสมาน เดมเบเล่ ยิงตีเสมอ 2-2 ทำให้ผลรวมเท่ากัน
เอ็มบัปเป้ มีโอกาสทำประตูในช่วงต่อเวลา แต่พลาดไป ก่อนจะยิงจุดโทษลูกแรกให้ฝรั่งเศสได้สำเร็จ
มิเกล โอยาร์ซาบาล ยิงจุดโทษให้สเปนนำตั้งแต่ต้นเกมที่บาเลนเซีย แต่ เมมฟิส เดปาย ตีเสมอให้เนเธอร์แลนด์จากลูกจุดโทษในนาทีที่ 54
โอยาร์ซาบาล ยิงลูกที่สองจากจังหวะสวนกลับ ก่อนที่ เอียน แมตเซ่น จะยิงตีเสมอให้เนเธอร์แลนด์จนต้องต่อเวลาพิเศษ
ลามีน ยามาล แข้งดาวรุ่งของบาร์เซโลนา ยิงให้สเปนนำอีกครั้งในนาทีที่ 103 แต่ ซาฟี่ ซิโมนส์ ก็ตีเสมอให้เนเธอร์แลนด์ ก่อนที่สเปนจะชนะการดวลจุดโทษ
โยชัว คิมมิช ยิงจุดโทษให้เยอรมนีนำในนาทีที่ 30 และจามาล มูเซียลา บวกเพิ่มอีกลูกจากจังหวะเล่นเร็ว ขณะที่จานลุยจิ ดอนนารุมม่า กำลังตำหนิเพื่อนร่วมทีม
ทิม ไคลน์เดียนส์ ยิงให้เยอรมนีนำ 3-0 แต่ มอยเซ่ คีน ยิงสองประตูให้ทีมอิตาลีไล่ขึ้นมา ก่อนที่เกมจะจบลงอย่างตื่นเต้น
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เจ้าของสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของฟุตบอลชาย ยิงจุดโทษไม่เข้าในนาทีที่ 6 แต่โปรตุเกสยังนำก่อนจากการทำเข้าประตูตัวเองของโยอาคิม อันเดอร์เซ่น
ราสมุส คริสเตนเซ่น โหม่งตีเสมอให้เดนมาร์กในนาทีที่ 56 ขณะที่โรนัลโด้ยิงประตูที่ 136 ในนามทีมชาติได้สำเร็จ ก่อนที่คริสเตียน อีริคเซ่น จะตีเสมอให้เดนมาร์กเป็น 2-2
ตรินเกา ยิงให้โปรตุเกสนำอีกครั้ง ก่อนจะยิงเพิ่มในช่วงต่อเวลา และกอนซาโล รามอส ปิดท้ายด้วยประตูที่ 5
ดาเนียล มัลดินี ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงให้ทีมชาติอิตาลีเป็นครั้งแรก 23 ปีหลังจากที่เปาโล มัลดินี พ่อของเขาลงเล่นนัดสุดท้ายให้ทีมชาติ ส่วน เซซาเร มัลดินี ปู่ของเขาก็เคยเล่นให้ทีมชาติอิตาลีเช่นกัน
โรเมลู ลูกากู ยิงสองประตูท้ายเกมช่วยให้เบลเยียมชนะยูเครน 3-0 และรักษาสถานะในลีก A ไว้ได้ หลังจากแพ้ในเลกแรก 3-1
กรีซเลื่อนชั้นสู่ลีก A หลังจากพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 1-0 มาชนะสกอตแลนด์ 3-0 โดยมี คอนสแตนตินอส คาเรตซาส ดาวรุ่งวัย 17 ปี ยิงประตู
ฮาคาน ชัลฮาโนกลู ยิงจุดโทษให้ตุรกีนำฮังการี ก่อนจะชนะ 3-0 และเข้ารอบด้วยผลรวม 6-1 ฮังการีและสกอตแลนด์ตกชั้นไปลีก B
ไอร์แลนด์ยังอยู่ในลีก B หลังจากชนะบัลแกเรีย 2-1 และเข้ารอบด้วยผลรวม 4-2
ขณะที่ เวดัต มูริกี ทำแฮตทริกช่วยให้โคโซโวชนะไอซ์แลนด์ 3-1 และเลื่อนชั้นสู่ลีก B ด้วยผลรวม 5-2