ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 "เรอัล มาดริด" เปิด ซานติอาโก้ เบร์นาเบว รับการมาเยือนของ "บาเยิร์น มิวนิค" โดยผลนัดแรกเสมอกันมา 2-2
เกมนี้เจ้าบ้านบุกหนักตั้งแต่เริ่ม แต่กลายเป็นทีมเยือนที่ออกนำก่อนจากลูกยิงของ อัลฟอนโซ่ เดวิส นาทีที่ 68 เกมทำท่าว่า "เสือใต้" จะคว้าชัยชนะไปได้ แต่แล้ว ราชันชุดขาว มายิงคืนสองลูกรวดช่วงท้ายเกม จาก โฆเซลู ในนาทีที่ 88 และ 90+1 ช่วยให้ เรอัล มาดริด ชนะไป 2-1 รวมผลสองนัด ราชันชุดขาว เข้ารอบด้วยประตูรวม 4-3
โดยรอบชิงชนะเลิศ เรอัล มาดริด จะเจอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่สนาม เวมบลีย์ ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้
จากผลนัดนี้ ทำให้ เรอัล มาดริด ได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 18 (รวมทั้ง ยูโรเปี้ยน คัพและ แชมเปี้ยนส์ ลีก) โดยคว้าแชมป์ไปถึง 14 ครั้ง ที่สำคัญยังเป็นการเข้าชิงครั้งที่ 6 ในรอบ 10 ปี แถม 5 ครั้งก่อนหน้านั้นคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด
เช่นเดียวกับ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่สามารถนำต้นสังกัดทั้ง เอซี มิลาน และ เรอัล มาดริด ผ่านเข้าชิงถ้วยใบนี้ได้เป็นครั้งที่ 7 แล้ว หลังเคยพา ปีศาจแดงดำ เข้าชิงได้ 3 ครั้ง (2003, 2005, 2007) และ เรอัล มาดริด 3 ครั้ง (2014, 2022, 2024)
ทั้งนี้ เกมดักล่าวยังมีจังหวะปัญหาเกิดขึ้นในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+13 เมื่อ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ยิงเข้าประตูไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินปฏิเสธที่จะให้ประตูเนื่องจากไลน์แมนยกธงล้ำหน้า อย่างไรก็ตามหากมองจากภาพรีเพลย์จะเห็นได้ชัดว่าไม่ล้ำหน้า ทำให้นักเตะและสตาฟฟ์โค้ชบาเยิร์นประท้วงกันยกใหญ่ เพราะต้องการให้ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์ แต่สุดท้ายผู้ตัดสินก็ปฏิเสธที่จะย้อนไปดู
หลังเกม มีรายงานว่าไลน์แมนของนัดนี้ได้ออกมายอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แต่การยอมรับดังกล่าวก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ต้องจบฤดูกาลแบบมือเปล่าไร้แชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี หรือตั้งแต่ฤดูกาล 2011/12
เช่นเดียวกับ แฮร์รี่ เคน กองหน้าของ "เสือใต้" ที่ตัดสินใจย้ายออกจาก สเปอร์ส เพื่อหวังคว้าแชมป์ให้ได้สักครั้งในชีวิต แถมยังระเบิดฟอร์มยิงถึง 44 ประตูจาก 45 เกม (รวมทุกรายการ) แต่สุดท้ายก็ยังต้องรอถือถ้วยแชมป์ต่อไปอีกปี