ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศคืนนี้ ไฮไลท์อยู่ที่การเจอกันของสองทีมดังอย่าง โรม่า และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งแน่นอนว่าสายตาทุกคู่คงจับจ้องไปที่ทีมของ ชาบี อลอนโซ่ กุนซือเนื้อหอมชาวสเปนที่ยังรักษาสถิติไม่แพ้ใครตลอดทั้งฤดูกาลนี้ไว้ได้ และทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ลุ้นว่า เลเวอร์คูเซ่น จะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ชื่อของ "ดานิเอเล่ เด รอสซี่" ก็กำลังค่อยๆสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะโค้ชหนุ่มไฟแรง ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่มีแชมป์ใดๆก็จริง แต่จากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า เด รอสซี่ ได้ยกระดับทีม "หมาป่าแห่งกรุงโรม" ให้ก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งแล้ว
ต้นปีที่ผ่านมา โรม่า ของ โชเซ่ มูรินโญ่ พ่ายให้กับ เอซี มิลาน 1-3 ที่ซานซีโร่ ส่งผลให้ทีมจัลโลรอสซี่รั้งอันดับ 9 ของตารางเซเรีย อา มีเพียง 27 แต้ม ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษของทีมหลังจากผ่านเกมลีกไป 20 นัด
หลังความพ่ายแพ้ไม่นาน โรม่า ก็ประกาศปลด มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งอย่างกะทันหัน หลังการพูดคุยร่วมกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากทุกสารทิศ ทั้งเหล่านักวิจารณ์ และบรรดาแฟนบอล เพราะ โรม่า ในยุค มูรินโญ่ คว้าแชมป์ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ตั้งแต่ปีแรกในการคุมทีม และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของยูโรปา ลีกในฤดูกาลถัดมา ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอันน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตาม สาเหตุหนึ่งที่เจ้าตัวต้องถูกปลดก็คือ เขาล้มเหลวกับการนำโรม่ากลับเข้าสู่การแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสโมสรที่อยู่ในสภาพการเงินที่เปราะบาง สไตล์การเล่นช่วงหลังของทีมย่ำแย่ และมูรินโญ่ก็มักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆอยู่เสมอจนทำให้บรรยากาศโดยรวมของสโมสรย่ำแย่อย่างหนัก
และนั่นทำให้ แดน และ ไรอัน ฟรีดกิ้น สองเจ้าของชาวอเมริกัน ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญในที่สุด
หลังการปลด มูรินโญ่ โรม่า ได้แต่งตั้ง ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ตำนานกองกลางของทีมเข้ามาเป็นกุนซือชั่วคราว ทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่เคยมีประสบการณ์แบบเป็นชิ้นเป็นอันในอาชีพนี้เลยด้วยซ้ำ โดย เด รอสซี่ อาจเป็นหนึ่งในกองกลางตัวรับที่เก่งที่สุดในรุ่นของเขา และเป็นตำนานของสโมสรก็จริง แต่ประสบการณ์การเป็นโค้ชของเขามีเพียงการเป็นหนึ่งในสตาฟฟ์โค้ชของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ในทีมชาติอิตาลี จากนั้นก็มาเป็นหัวหน้าโค้ชที่ สปาล แต่ก็ถูกปลดหลังคุมทีมได้แค่ 4 เดือนเหตุเพราะพาทีมร่วงไปอยู่อันดับ 18 ในเซเรีย บี
ทำเอาหลายคนต่างตั้งคำถามว่า โรม่า คิดอะไรอยู่ แม้กระทั่งเหล่านักเตะก็สงสัยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามจากการแถลงข่าวครั้งแรก เด รอสซี่ พยายามเพิ่ม "พลังบวก" เข้ามาในทีม ด้วยการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามีเชื่อมั่นในตัวลูกทีมอย่างเต็มที่ ตรงข้ามกับ มูรินโญ่ ที่มักออกมาคร่ำครวญบ่อยครั้งว่าทีมของเขายังไม่ดีพอ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากนั้นผู้เล่นเหล่านั้นต่างก็ตอบสนองต่อการจัดการคนของ เด รอสซี่ ได้เป็นอย่างดี ทุกคนพร้อมทุ่มเทเต็มที่ในทุกๆเกมเพื่อเจ้านายคนใหม่ของเขา
และแค่สองเดือนนับจากนั้น "หมาป่าแห่งกรุงโรม" ก็พุ่งทะยาน เก็บชัยชนะได้ถึง 7 จาก 9 นัด แพ้แค่นัดเดียวต่อจ่าฝูงอย่าง อินเตอร์ มิลาน (ซึ่งเป็นแชมป์ในเวลาต่อมา) ขยับจากอันดับ 9 ขึ้นมาอยู่ที่ 5 โอกาสคว้าโควต้าลุยศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ถือว่าไม่ไกลเกินเอื้อม จนล่าสุด เด รอสซี่ ได้รับการขยายสัญญาออกไปเป็นที่เรียบร้อย
ในด้านแท็กติก เด รอสซี่ เข้ามาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของ โรม่า ไปอย่างสิ้นเชิง จากทีมที่เน้นเกมรับและผลการแข่งขันตามสไตล์ของ มูรินโญ่ สู่การเป็นทีมที่เน้นเกมรุกเต็มสูบ
โรม่า ในยุค เด รอสซี่ มีค่าเฉลี่ยการทำประตูสูงถึง 2.5 ประตูต่อเกม มากกว่ายุค มูรินโญ่ (1.5 ประตูต่อเกม) อย่างชัดเจน
โดย เด รอสซี่ ทิ้งแผน 4-3-3 ที่มีกองหน้าตัวเป้าแค่คนเดียวของ มูรินโญ่ ไป บางเกมขยับมาเล่นกองหลัง 3 คน บางเกมเปลี่ยนไปเล่นเป็นกองหน้าคู่ นักเตะหลายๆคนได้รับอิสระให้สร้างสรรค์เกม หรือ "ปล่อยของ" ได้อย่างเต็มที่
ลอเรนโซ่ เปเยกรีนี่ กัปตันทีมคนปัจจุบัน ที่ทำท่าจะหมดอนาคตในยุคมูรินโญ่ไปแล้ว ก็กลับมาท็อปฟอร์มได้อีกครั้ง ขนาดที่เจ้าตัวถึงกับยอมรับว่า "ตอนนี้ผมมีอิสระกับการเล่นมากที่สุดในรอบ 18 เดือน"
ด้าน เปาโล ดีบาล่า และ โรเมลู ลูกากู ก็แฮปปี้อย่างยิ่งกับการขยับเข้าใกล้เขตโทษคู่แข่ง และมีโอกาสยิงประตูเพิ่มมากขึ้นในแต่ละเกม เลอันโดร ปาเรเดส และ จานลูก้า มันชินี่ ก็กลับมาเล่นได้ดีเช่นเดียวกัน
...
หากพูดถึงตัวกุนซือที่มีผลงานโดดเด่นในยุคปัจจุบัน ชื่อของ อาร์เน่ สล็อต (เฟเยนูร์ด) และ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ (ไบรท์ตัน) น่าจะเป็นชื่อลำดับแรกๆที่แฟนบอลนึกถึง
แต่โรม่าของ เด รอสซี่ จัดการโค่นสองทีมนี้มาแล้วในยูโรปาลีกรอบที่ผ่านๆมา
และคืนนี้ เลเวอร์คูเซ่น ของ ชาบี อลอนโซ่ ก็มีโอกาสที่จะเป็นเหยื่อรายต่อไปเช่นกัน