ศึก ฟุตบอลโลก เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มแข่งกันมาตั้งแต่ปี 1930 และจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี (ยกเว้นในปี 1942 และ 1946 ที่ไม่มีแข่งเนื่องจากเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) การแข่งขันได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตอบรับลงแข่งแค่ไม่กี่ทีมในครั้งแรก สู่การแข่งขันของกว่า 200 ประเทศที่เป็นสมาชิกของฟีฟ่า
เช่นเดียวกับการถ่ายทอดสด ที่ทุกวันนี้ "ฟุตบอลโลก" คือทัวร์นาเมนต์ที่แฟนบอลนับพันล้านคนต่างเฝ้ารอ
สำหรับประเทศไทย การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก เริ่มขึ้นในปี 1970 ที่ประเทศเม็กซิโก โดยคนไทยได้รับชมเฉพาะนัดชิงชนะเลิศ ที่ทีมชาติบราซิล ชนะ ทีมชาติอิตาลี 4-1
หลังจากนั้นเป็นต้นมา คนไทยก็ได้รับชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในทุกๆ 4 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นการสนับสนุนโดยรัฐบาล ในรูปแบบโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย หรือ "ทีวีพูล"
ช่วงแรกเป็นถ่ายทอดสดเฉพาะแมตช์สำคัญ เช่นนัดเปิดสนาม รอบรองชนะเลิศ รอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะมาเป็นการถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ในปี 1990 ที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ
มาถึงฟุตบอลโลกปี 2002 เป็นครั้งแรกที่ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการอย่างเต็มตัว โดยบริษัท ทศภาค เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ที่ได้ดำเนินการแบบธุรกิจเต็มรูปแบบ แต่ยังถ่ายทอดสดผ่านทางฟรีทีวีเช่นเดิม โดย ทศภาค หารายได้จากโฆษณาก่อนเกม พักครึ่ง หลังจบเกม และบริเวณมุมจอเล็ก ๆ ระหว่างเกม นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมพิเศษคือการถ่ายทอดสดจอยักษ์ในลานเบียร์และลานหน้าห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ควบคู่กับการจำหน่ายสินค้าในเครือร่วมกันไปด้วย รวมถึงการขายสัญญาณให้กับผู้ที่สนใจทั้งโรงแรม ผับ บาร์ คาราโอเกะ และสถานบันเทิงต่าง ๆ ไปใช้ดึงดูดลูกค้า
หลังจาก ทศภาค เป็นเจ้าภาพถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกไป 2 ครั้ง (2002, 2006) ทำให้ภาคเอกชนอื่นๆมองเห็นช่องทางในการทำธุรกิจผ่านการแข่งขันรายการนี้มากขึ้น และสุดท้ายเป็นบริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น ที่ทุ่มเงินคว้าลิขสิทธิ์ของปี 2010 และ 2014 ไปครอง
ในฟุตบอลโลก 2010 การถ่ายทอดสดเป็นไปอย่างไม่มีปัญหา อาร์เอส ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีและหารายได้จากโมเดลธุรกิจแบบเดียวกับฟุตบอลโลก 2 ครั้งที่ผ่านมา แต่ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการตั้งกฎ Must Have & Must Carry ที่กลายเป็นการทำให้ไม่มีใครกล้าลงทุน จนคนไทยเกือบพลาดดูบอลโลกไปหลายต่อหลายครั้ง
กฎ Must Have & Must Carry คืออะไร
ในปี พ.ศ. 2555-2556 (ค.ศ. 2012-2013) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกอากาศโทรทัศน์ภาคพื้นดิน 2 ฉบับ คือ หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สําคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะทางฟรีทีวี (Must Have) และ หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (Must Carry)
Must Have "ต้องได้ดูฟรี"
สำหรับกฎ Must Have มีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการโทรทัศน์ที่มีคุณภาพอย่างเป็นธรรม และเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนด้อยโอกาสให้เข้าถึงหรือรับรู้และใช้ประโยชน์จากรายการของกิจการโทรทัศน์ได้อย่างเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป
โดยให้ 7 รายการถ่ายทอดสดกีฬาสำคัญ ถือเป็นรายการโทรทัศน์ที่สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้ภายใต้การให้บริการฟรีทีวีเท่านั้น ดังนี้
Must Carry "ต้องดูได้ทุกแพลตฟอร์ม"
นอกจากกฎ Must Have แล้ว กสทช.ยังได้ออกหลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือที่เรียกว่า “Must Carry”
กฎดังกล่าวเป็นการบังคับให้แพลตฟอร์มบริการโทรทัศน์ทุกรายที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. นำช่องฟรีทีวี ไปออกอากาศในทุกช่องทาง ทั้งทางเสาอากาศ จานดาวเทียม เคเบิลทีวี และช่องทางออนไลน์ โดยต้องออกอากาศต่อเนื่องตามผังรายการของแต่ละสถานี ไม่มีจอดำเกิดขึ้น
ประกาศที่ออกมาโดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้คนไทยได้รับชมมหกรรมกีฬาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม แต่สุดท้ายกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้คนไทยเกือบไม่ได้ดูฟุตบอลโลกทันเวลา
ปัญหาของกฎ Must Have & Must Carry
การออกกฎ Must Have & Must Carry แม้จะเป็นเจตนาที่ดี ที่ต้องการให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง แต่กฎดังกล่าวกลับทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เผยแพร่บทความเรื่อง ถอดบทเรียนลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 ระบุปัญหาของกฎดังกล่าวไว้ว่า Must Have และ Must Carry ทำให้ภาคเอกชน หรือ เพย์ทีวี ขาดแรงจูงใจในการซื้อลิขสิทธิ์ เนื่องจาก
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า กฎ Must Have & Must Carry ไม่เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจในโลกยุคปัจจุบันอีกต่อไป ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้ กสทช. แก้ไขกฎดังกล่าวโดยเร็ว ก่อนจะต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนฟุตบอลโลก 2-3 ครั้งที่ผ่านมา
และล่าสุด ในการประชุม บอร์ด กสทช. เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 67 ที่ผ่านมา ได้มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ 7 เสียง เห็นควรให้ถอนการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอด "ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย" ออกจากประกาศหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 หรือ ประกาศมัสต์แฮฟ (Must Have) เป็นที่เรียบร้อย
โดยศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตัดฟุตบอลโลกออก เพราะมีมูลค่าทางการตลาดชัดเจน และเป็นประเภทกีฬาที่มีปัญหามาโดยตลอด จากมติ 7 เสียง ที่ถอดกีฬาประเภทนี้ออกจากกฎ Must have จะมีผลทันที ระหว่างนี้อยู่ขั้นตอนเพื่อรอการประกาศชัดเจน
ด้าน ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช.ด้านกิจการโทรทัศน์ กล่าวว่า บริบทการถ่ายทอดฟุตบอลโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จนถึงวันนี้ถือว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายก็เข้าสู่กลไกการแข่งขันอย่างสมบูรณ์แล้ว
“การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มีเงื่อนไขของเจ้าของลิขสิทธิ์อยู่แล้วว่า ควรให้มีการถ่ายทอดสดอย่างทั่วถึงขั้นต่ำกี่คู่ หรือคู่พิเศษที่จะมีการเก็บเงินเพิ่มได้เท่าไหร่ ล้วนเป็นกลไกทางการตลาด ซึ่งเราไม่อยากให้มีการแทรกแซงกลไกดังกล่าว”
หลังจากนี้เชื่อว่าการถอดฟุตบอลโลกออกจากกฎ Must Have น่าจะทำให้ภาคเอกชนมีแรงจูงใจในการมองหาช่องทางดำเนินธุรกิจมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า ฟุตบอลโลก 2026 ที่เยอรมนี จะมีเอกชนเจ้าใดคว้าลิขสิทธิ์ไปครอง และจะถ่ายทอดสดให้แฟนบอลชาวไทยได้รับชมกันในรูปแบบใด