โดยในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ "ยูโร 2024" ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 17 ปีนี้จะจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย.-14 ก.ค. 2567 ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่รายการแรกที่ เยอรมนี มีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพนับตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อปี 2006
สำหรับเจ้าภาพ เยอรมนี ประกาศสังเวียนฟาดแข้งไว้แล้วจำนวนทั้งสิ้น 10 สนาม ประกอบด้วย
โดยการแข่งขันครั้งนี้ยังใช้ระบบเดียวกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 24 ทีม แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแรกแข่งขันแบบพบกันหมดในกลุ่ม ทีมแชมป์และรองแชมป์กลุ่มรวม 12 ทีม กับทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีม ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งจะแข่งกันแบบน็อกเอาต์ไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
ส่วนทีมที่เข้าร่วมแข่งขันรอบสุดท้ายนั้น เบื้องต้นการันตีเข้ารอบแล้ว 21 ทีม เหลือโควต้าอีก 3 ที่สำหรับผู้ชนะการเล่นเพลย์ออฟ ซึ่งผลการจับสลากแบ่งกลุ่มเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปดังนี้
ส่วนการเพลย์ออฟเพื่อชิงโควต้า 3 ที่สุดท้าย จะเตะรอบรองชนะเลิศวันที่ 21 มีนาคม และรอบชิงชนะเลิศของแต่ละสาย วันที่ 26 มีนาคม ซึ่งการประกบคู่รอบรองชนะเลิศ มีดังนี้
สำหรับสถิติทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในการแข่งขันรายการนี้ก็คือ "อินทรีเหล็ก" ทีมชาติเยอรมนี เจ้าภาพ ที่คว้าแชมป์มาแล้ว 3 สมัย (1972, 1980, 1996) และรองแชมป์อีก 3 ครั้ง (1976, 1992, 2008) รองลงมาคือ สเปน แชมป์ 3 สมัย, อิตาลี กับ ฝรั่งเศส แชมป์ 2 สมัยเท่ากัน
และหลังจากจบ ยูโร 2024 ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 33 "ปารีส 2024" ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก็จะเปิดฉากขึ้น โดยมีกำหนดแข่งกันระหว่างวันที่ 26 ก.ค.-11 ส.ค.2567 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ ฝรั่งเศส ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ ต่อจากโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 1900 และโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 8 เมื่อปี 1924 นับเป็นเมืองที่ 2 ของโลกที่ได้จัดโอลิมปิกเกมส์ถึง 3 ครั้ง ต่อจากกรุงลอนดอน ของอังกฤษ
สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ จะมีการชิงชัยกันทั้งสิ้น 329 เหรียญทองจาก 32 ชนิดกีฬา โดยมี 4 กีฬาที่ได้รับการบรรจุเข้ามาเป็นครั้งแรก ประกอบไปด้วย เบรกกิ้ง, ปีนหน้าผา, สเก็ตบอร์ด และกระดานโต้คลื่น โดยจะมีนักกีฬาราว 10,500 คน จาก 206 ประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน
สำหรับโอลิมปิกเกมส์ 32 ครั้งที่ผ่านมา ชาติที่ครองเจ้าเหรียญทองสูงสุดก็คือ สหรัฐอเมริกา ที่ได้ไป 18 ครั้ง รองลงมาเป็น สหภาพโซเวียต 6 ครั้ง ส่วน ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, จีน และชาติที่เป็นอดีตสหภาพโซเวียต (รวมตัวแข่งเฉพาะกิจเมื่อปี 1992) ครองเจ้าเหรียญทองไปชาติละ 1 ครั้ง
สำหรับนักกีฬาไทย จากอดีตจนถึงปัจจุบัน เคยคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์มาแล้วทั้งสิ้น 10 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน 17 เหรียญทองแดง จาก 3 ชนิดกีฬา คือ มวยสากลสมัครเล่น, ยกน้ำหนัก และ เทควันโด
ส่วนการแข่งขันครั้งนี้ ล่าสุดมีนักกีฬาไทยคว้าตั๋วลุย ปารีสเกมส์ ได้แล้ว 16 คน ประกอบด้วย
และในช่วง 7 เดือนก่อนถึงการแข่งขัน ทัพนักกีฬาไทยยังคงมีโอกาสคว้าตั๋วโอลิมปิกเกมส์เพิ่มได้มากกว่านี้ ซึ่ง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตั้งเป้าว่าจะต้องได้มากกว่าหนก่อน ที่ทำได้ 37 โควต้า (42 คน) ด้วยกัน
โดยโควต้าที่ยังเหลือได้ลุ้นของทัพนักกีฬาไทย ยังมีอีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น มวยสากล ที่มีศึกเวิลด์ควอลิฟาย อีก 2 ครั้ง, เทควันโด กับ แบดมินตัน ที่ยังมีทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนอีกหลายรายการ
ด้าน ยกน้ำหนัก หลังจากโอลิมปิกเกมส์หนล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมเพราะอยู่ในช่วงที่โดนลงโทษแบนอยู่นั้น ตอนนี้ยังเหลือให้เก็บคะแนนอีก 2 รายการคือชิงแชมป์เอเชียที่อุซเบกิสถาน และ เวิลด์คัพ 2024 ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งจอมพลังไทยหวังจะคว้าได้ครบ 6 โควต้าเต็มๆ
นอกจากนี้ยังมีโควต้าอื่นๆ เช่น ว่ายน้ำ จาก เจนจิรา ศรีสะอาด, กรีฑา จาก “บิว” ภูริพล บุญสอน, เทเบิลเทนนิส จาก “หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร และ “ทิพย์” อรวรรณ พาระนัง, ยิงเป้าบิน, ยูโด, วินด์เซิร์ฟ, เรือพาย, เทนนิส, เทควันโด, กอล์ฟ หรือยิงธนู ก็ยังอยู่ในข่ายที่มีโอกาสลุ้นคว้าโควต้าเพิ่มได้ เช่นเดียวกับกีฬาประเภททีมอย่างวอลเลย์บอลหญิง และ ฟุตบอลชาย ที่ยังมีลุ้นพอสมควร
รอเชียร์ผลงานของนักกีฬาไทยกันได้ตลอดครึ่งปีนี้