ไร้ชัย 5 นัดติด! "อังเก้ ปอสเตโคกลู" หมดเวลาฮันนีมูน

หลังจากไม่แพ้ใครมา 10 นัดติดต่อกันนับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2023/24 ซึ่งนับเป็นการออกสตาร์ทที่ดีที่สุดของสโมสร ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในยุคพรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งที่สองที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ต่อจากฤดูกาล 1960/61 ที่ตอนนั้นพวกเขาจบซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์ จนทำให้ “แอนจ์” หรือ อังเก้ ปอสเตโคกลู ผงาดคว้ารางวัลกุนซือยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกถึง 3 เดือนติดต่อกัน 

แต่หลังจากช่วงเวลาอันสดใส กลับมืดหม่นในชั่วข้ามคืน

เพราะหลังจากได้รางวัลกุนซือยอดเยี่ยม พลพรรค "ไก่เดือยทอง" ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ถึง 3 นัดติดต่อกัน ก่อนจะมากู้ชื่อด้วยการเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-3 เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ต้องเจอความปราชัยอีกครั้งในเกมล่าสุด เมื่อพ่ายคาบ้านต่อ เวสต์แฮม 1-2 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปอสเตโคกลู กลายเป็นกุนซือที่รักยิ่งของแฟนๆสเปอร์ส เพราะแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเฮดโค้ชคนก่อนหน้า อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่, นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ หรือ อันโตนิโอ คอนเต้ แต่เจ้าตัวก็มีเอกลักษณ์ในการทำทีมที่ชัดเจน และสามารถพลิกฟื้นสไตล์การเล่นเกมรุกอันเร้าใจกลับสู่ทีมได้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานด้วยการเล่นแบบ "เน้นผลการแข่งขัน" ตามสไตล์ของ 3 กุนซือก่อนหน้า 

อย่างไรก็ตาม บาดแผลในทีมชุดนี้ค่อยๆเผยออกมาเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นตั้งแต่เกมที่ถูก เชลซี ถล่มคาบ้าน 4-1 เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เห็นว่า สเปอร์ส ชุดนี้ ยังขาดคุณภาพในเชิงลึกอยู่พอสมควร

เกมดังกล่าว สเปอร์ส ต้องเหลือแค่ 9 คน หลังจาก คริสเตียน โรเมโร่ และ เดสทินี อูโดกี้ โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ขณะที่ เจมส์ แมดดิสัน และ มิกกี้ ฟาน เดอ เฟน ก็โชคร้ายได้รับบาดเจ็บหนัก ทั้งสี่คนที่ว่ามาเป็นกลุ่มนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับสเปอร์สในฤดูกาลนี้ และอาการบาดเจ็บของ แมดดิสัน และ ฟาน เดอ เฟน ถือเป็นความโชคร้ายที่ส่งผลมหาศาลในหลังจากนั้น เนื่องจาก แมดดิสัน คือศูนย์กลางในเกมรุกของสเปอร์ส ขณะเดียวกัน ฟาน เดอ เฟน คือแนวรับที่มีสปีดจัดจ้านและเหมาะอย่างยิ่งกับแท็กติก "ไฮ-ไลน์" หรือการดันแผงหลังขึ้นสูงของ แอนจ์ 

ยิ่งไปกว่านั้น การพ่ายแพ้ต่อเชลซียังทำให้ ปอสเตโคกลู เริ่มถูกวิจารณ์ถึงความดื้อรั้นในแท็กติก ที่ไม่ยอมปรับตามสถานการณ์ เพราะเกมดังกล่าว สเปอร์ส ยังใช้วิธีดันแนวรับขึ้นสูงและไล่เพรสซิ่งอย่างหนักทั้งทีมแม้จะเหลือแค่ 9 คน จนถูกยิงถึง 2 ลูกในช่วงท้ายเกม แม้บางส่วนจะยังชื่นชมว่านั่นคือการแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนในรูปแบบการเล่นของสโมสรก็ตาม

หลังจากนั้น สเปอร์สก็มาแพ้เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกันต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ด้วยสกอร์ 1-2 ต่อด้วยการพ่ายคาบ้านต่อ แอสตัน วิลล่า ด้วยสกอร์เดียวกัน ซึ่งทั้งสองเกมดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางในแนวรับหลังจากไม่มีทั้ง ฟาน เดอ เฟน และ โรเมโร่ ที่ชัดเจน

นอกจากอาการบาดเจ็บและการติดโทษแบนแล้ว สเปอร์ส ยังต้องเจอกับอาการ "ล้า" ของนักเตะ เพราะแท็กติกการเพรสซิ่งอย่างหนักต้องใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งความเหนื่อยล้าแบบนี้จึงทำให้ สเปอร์ส เสียประตูในช่วงท้ายเกมอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นทีมที่เสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บมากที่สุดของพรีเมียร์ลีกในซีซั่นนี้

และจากเกมที่เสมอ แมนฯซิตี้ รวมถึงนัดล่าสุดที่พ่ายคาบ้านต่อ เวสต์แฮม 1-2 ต่างก็ชี้ให้เห็นว่า พลังงานของนักเตะที่ลงสนามกำลังเริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆเนื่องจากไม่สามารถยืนระยะกับคิวแข่งอันหนักหน่วงของพรีเมียร์ลีกได้

นักวิเคราะห์ฟุตบอลหลายรายต่างให้ความเห็นในทางเดียวกันว่า หาก ปอสเตโคกลู ยังไม่ยอมลดระดับความเข้มข้นของการเพรสซิ่งลง ก็มีโอกาสที่จะเห็น สเปอร์ส ปราชัยต่อเนื่องยิ่งกว่านี้อีก เพราะนอกจากพวกเขาจะต้องเจอกับโปรแกรมเตะถี่ยิบในช่วงปลายเดือน ธ.ค. แล้ว พอเข้าสู่ต้นปีหน้า พวกเขาก็จะต้องเสีย อีฟส์ บิสซูม่า กับ ป๊าป มาตาร์ ซาร์ ที่ต้องไปรับใช้ทีมชาติในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ อีกร่วมเดือน (หากทีมของพวกเขาเข้ารอบลึกๆ) ขณะที่สองคีย์แมนอย่าง แมดดิสัน และ ฟาน เดอ เฟน กว่าจะกลับมาได้ก็ต้องรอถึงกลางเดือน ม.ค. เป็นอย่างน้อย ไม่นับถึง โร้ดริโก้ เบนตานกูร์ ที่ต้องพักยาวถึงเดือน ก.พ. และ อีวาน เปริซิช ที่พักยาวทั้งซีซั่น 

นอกจากแท็กติกที่อาจจะต้องปรับลดระดับลงมาแล้ว บอร์ดบริหารของ สเปอร์ส ก็ต้องช่วยสนับสนุนแผนงานของเฮดโค้ชโดยด่วน โดยเฉพาะในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 ในเดือน ม.ค.ที่จะถึงนี้ ที่จะต้องเร่งหานักเตะมาเสริมทัพเพื่อการสู้ศึกระยะยาว

ซึ่งหาก "แอนจ์" ไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีพอ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่ สเปอร์ส จะต้องเจอกับความผิดหวัง เช่นเดียวกับที่เคยประสบมาตลอดในหลายฤดูกาลที่ผ่านมา