นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตครั้งที่ 1 ประจำปี 2567 ว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ให้คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต ทบทวนโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว (โครงการปุ๋ยคนละครึ่ง) กรอบวงเงิน 29,980 ล้านบาท เนื่องจากเกิดปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ และปัจจุบันล่วงเลยระยะเวลาการสนับสนุนปัจจัยการผลิต (ปุ๋ย) ไปแล้ว อีกทั้งเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม 2567 เกษตรกรร้อยละ 72.20 อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าว และนำผลผลิตออกสู่ตลาด ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว จำนวนมาก เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินงานโครงการไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ 20,000 บาท
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า จากปัญหาอุปสรรคของโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง และข้อเรียกร้องของชาวนานั้น ที่ประชุม จึงมีมติเห็นชอบยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง และเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนเป็นสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าว อัตราช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ วงเงินรวมดอกเบี้ย 3.05% จำนวน 27,550 ล้านบาท โดยเสนอ นบข. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการมาตรการเพิ่มระดับผลิตภาพ (Productivity) ของการผลิตข้าวของศูนย์ข้าวชุมชนในการผลิต และกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว จำนวน 2 โครงการ เป้าหมาย 543 ศูนย์ จำนวนเงิน 2,428 ล้านบาท โดยใช้จากกรอบวงเงิน ที่เหลือจากโครงการสนับสนุนปุ๋ยฯ วงเงิน 2,429 ล้านบาท ได้แก่
โดยจะนำเสนอ นบข.พิจารณาอนุมัติเห็นชอบภายในอาทิตย์หน้านี้ และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในที่ประชุมนายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ประธานกรรมการศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ ตลอดจนผู้แทนชาวนา ต่างแสดงความคิดเห็น และพึงพอใจต่อมติดังกล่าว
ด้าน นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ภายหลังคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่งมา เป็นสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าว อัตราช่วยเหลือ ไร่ละ 500 บาทไม่เกิน 20 ไร่ วงเงินจำนวน 27,550 ล้านบาท โดยให้ชาวนาได้รับเงินชดเชยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลผลผลิต โดยพิจารณาตามกรอบวงเงินที่มีอยู่ คือ 29,980 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลือจะเสนอ 2 โครงการคู่ขนาน เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ศูนย์ข้าวชุมชนเกิดความเข้มแข็งต่อไป และไม่เป็นการเพิ่มภาระให้รัฐบาล อย่างไรก็ตาม การจะเดินหน้าโครงการใหม่นี้ได้ จะต้องมีการเสนอขอเปลี่ยนแปลงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ระบุให้หน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตร โดยตรงแก่เกษตรกร
นอกจากนี้ ยังได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะทำงานบริหารจัดการข้าว ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย 2 คณะ ได้แก่ คณะทำงานบริหารจัดการเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยมีอธิบดีกรมการข้าว เป็นประธานฯ รัฐบาล เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการรับเงินอุดหนุนของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว อีกทั้งต้องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขต่างๆ ในการดำเนินการตามโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และคณะทำงานโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้รับทราบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) มีมติเห็นชอบ ในคราวประชุม ครั้งที่ 1 ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 เป้าหมายรวม 8,500,000 ตัน วงเงินรวมกว่า 60,000 ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินสินเชื่อราง 50,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาดราว 9,600 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2567/68, โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2567/68 และโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2567/68 โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่ออนุมัติในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ต่อไป