27 มิถุนายน 2567 นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ สภาวะลานีญา แล้ว ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์สภาพอากาศ และปริมาณฝนตกตั้งแต่เดือน มิ.ย. - พ.ย. 67 ว่า จะเริ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติประมาณ 5 - 8% ยกเว้นในเดือน ต.ค. 67 ปริมาณฝนตกจะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติประมาณ 12%
โดยในเดือน ก.ค.-ส.ค. 67 ฝนจะตกหนัก โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายขอบของประเทศ ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่เดือน ก.ย. 67 ฝนจะตกหนักกระจายทั้งประเทศ ยกเว้นภาคใต้ฝั่งตะวันออก ส่วนในช่วงปลายฤดูฝนเดือน ต.ค.-พ.ย. 67 ฝนจะตกหนักมากในภาคตะวันตกตอนล่างและภาคใต้ ซึ่ง สทนช.ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัดตลอดช่วงฤดูฝนปีนี้
นายฐนโรจน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือนนี้ (มิ.ย.67) จะมีร่องมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กําลังแรงพาดผ่านภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนัก สทนช.ได้ออกประกาศแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก บริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ นครพนม อุบลราชธานี ระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา
นอกจากนี้ในช่วงเดียวกัน พื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางปะกง อาจจะได้รับผลกระทบ จากน้ำทะเลหนุนสูงและฝนตกหนักในพื้นที่ ซึ่ง สทนช. ได้ออกประกาศแจ้งเตือน และให้เฝ้าระวังสถาน การณ์ดังกล่าวไปแล้วเช่นกัน
“ฝนที่ตกเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ แม้จะมีพื้นที่ที่จะต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก แต่ก็จะส่งผลดีต่อพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด เพราะฝนที่ตกลงมาจะช่วยเติมน้ำในพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก
นอกจากนี้ สทนช. ได้ติดตามการดำเนินงานตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน โดยมีการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักรเครื่องมือ ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดำเนินการกำจัดผักตบชวา และขุดลอกคูคลองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมไปถึงปรับปรุง ซ่อมแซมเครื่องมือวัดปริมาณน้ำที่ชำรุดให้มีความพร้อมใช้งาน ภายในเดือน ก.ค. นี้
นายฐนโรจน์ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำ ในแหล่งเก็บกักน้ำทั่วประเทศขณะนี้ (ข้อมูล ณ 25 มิ.ย. 67) มีปริมาณน้ำทั้งสิ้น 39,936 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 50 % ของปริมาณการกักเก็บ และสามารถรองรับน้ำได้อีกประมาณ 40,628 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมีปริมาณใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามในจำนวนแหล่งเก็บกักน้ำดังกล่าว มีอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ 5 แห่ง มีปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์เก็บกักต่ำสุด ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนกระเสียว เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนปราณบุรี นอกจากนี้ยังมีเขื่อนขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% ของปริมาณน้ำกักเก็บอีกถึง 92 แห่งทั่วประเทศด้วย
ดังนั้นหากมีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้น ตามที่คาดการณ์ไว้ เขื่อนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง ที่มีปริมาณน้ำค่อนข้างน้อยดังกล่าว จะสามารถรองรับมวลน้ำหลาก และตัดยอดน้ำได้อีกจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดผล กระทบจากน้ำป่าไหลหลาก และบรรเทาปัญหาน้ำท่วม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะทำให้มีน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ปี 2567/68 อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ได้คาดการณ์ว่า ถ้าเกิดฝนตกเฉลี่ยหลังจากสิ้นฤดูฝนในวันที่ 1 พ.ย. 67 จะมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 58,195 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 82% ของปริมาณน้ำกักเก็บ ซึ่งมากกว่าปี 2566 ประมาณ 1,809 ล้าน ลบ.ม. โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะมีปริมาณน้ำต้นทุนใน 4 เขื่อนหลัก อยู่ที่ 20,667 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าปี 2566 ประมาณ 2,886 ล้าน ลบ.ม. และที่สำคัญในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) จะมีปริมาณน้ำต้นทุนเต็มความจุรวมทั้งสิ้น 576 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา 65 ล้าน ลบ.ม.