จากกรณี เมื่อวานนี้ ( 21 พ.ย.2567) ตำรวจ สภ.เมืองตรัง ควบคุมตัว 2 คู่ซี้ พระ และ ฆราวาส ในสภาพเมาแอ๋ ตัวเหม็นกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง โดยเฉพาะคนที่แต่งกายเป็นพระ พูดจาเอะอะโวยวายตลอดเวลา โดยนำตัวทั้ง 2 มาสงบสติอารมณ์ พร้อมทรัพย์สินส่วนตัว อาทิ บาตร เต๊นนอน ถุงใส่ของใช้ส่วนตัว หลังจากทั้งสองได้พากันไปอาละวาดที่ร้านกาแฟ ใกล้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลนครตรัง และประกาศว่าตนเองว่ามีปืน ทำให้ชาวบ้านตกใจกลัว จึงโทรแจ้งตำรวจ สภ.เมืองตรัง มาระงับตรวจสอบ
เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ได้ตรวจค้นสัมภาระ พบขวดเหล้าขาวเปล่า 1 ขวด และขวดน้ำขนาดเล็ก แต่ภายในบรรจุเหล้าขาวที่เหลืออีกค่อนขวด เมื่อขอดูหลักฐานการบวชเป็นพระ ปรากฏว่าไม่มี มีแต่บัตรประชาชน ทราบชื่อ นายนพดล (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ชาว ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง โดยบอกว่า ตนเองเพิ่งบวชได้ 1 พรรษา ส่วนเพื่อนคู่ซี้ที่เป็นฆราวาส ไม่ได้พกบัตรประชาชน มีเพียงเอกสารแจ้งความลงบันทึกประจำวันของ สภ.รัตภูมิ ที่ระบุว่าถูกชายไทย 2 คน รับมาจากหัวลำโพง กรุงเทพฯ เพื่อจะมาทำงานในสวนปาล์มน้ำมัน จ.สงขลา แต่เมื่อมาถึง อ.รัตภูมิ ก็ถูกชาย 2 คนดังกล่าวทิ้ง ทำให้กระเป๋าสัมภาระ และเงิน 1,000 บาท ติดไปกับรถยนต์ของชาย 2 คนดังกล่าวด้วย จึงแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ ระบุชื่อ นายสายชล (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ชาวอำเภอเมืองกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร
ต่อมา ตำรวจได้นำตัวไปตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด แต่ไม่พบสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใด เมื่อสอบถามที่มาที่ไป ปรากฏว่าพูดจาวกไปวนมา เอะอะโวยวาย พร้อมประกาศ "ใครก็ไม่สามารถจับตนเองสึกได้ ต่อให้เป็นพระสมเด็จก็สึกตนเองไม่ได้ รู้จักพระผู้ใหญ่ และผู้มีอิทธิพลหลายคน ไม่มีใครสามารถจะสึกตนเองได้ และตนเองไม่มีความผิดอะไร"
ระหว่างนั้น พระรูปดังกล่าวเอะอะโวยวายใส่ตำรวจตลอดเวลา เมื่อตำรวจบอกว่า "บิณฑบาต" ขอข้าวชาวบ้านกิน แล้วทำตัวแบบนี้ใช้ไม่ได้ พระก็เถียงบอกว่า "ก็อย่าทำให้เขาเห็นสิ....."
เมื่อตำรวจและผู้สื่อข่าว พยายามสอบถามที่มาที่ไปว่ามาจากไหน บวชที่วัดไหน จะไปไหน ก็พูดจาวกไปวนมา บ้างก็บอกว่า บวชพระที่จ.สงขลา แล้วเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน พร้อมเพื่อนที่รักกันมาก และบางครั้งก็บอกว่า บวชที่วัดแห่งหนึ่ง ใน อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน โดยพระพูดจาแต่ละครั้ง แต่ละคำ ไม่เหมือนกัน บางครั้งบอกว่า "ปกติตนเองไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่" วันนี้วันแรกที่กินเหล้า พร้อมหาตัวช่วยยืนยันคือ เพื่อนซี้ เรียกชื่อเล่นเพื่อนว่า “ไอ้ต่อ”
ด้านเพื่อนซี้ “ไอ้ต่อ” ก็บอกว่า กินทุกวัน กินบ่อย วันนี้กินเหล้าพร้อมกับแกล้มไปทั้งหมด 1,200 บาท ด้านเพื่อนพระก็ปฏิเสธพัลวัน บอกว่า
"ไม่เคยดื่ม ครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็หลุดพูดว่ากินแต่เหล้า ยาเสพติดไม่เคยยุ่งเกี่ยว แล้วตนเองผิดอะไร ทำไมต้องสึกจากพระ แค่กินเหล้าไม่ได้ถึงขั้นปราชิก พร้อมทวงบุญคุณเพื่อนว่า ตนเอง "บิณฑบาต" หาเลี้ยงอยู่เองทั้งข้าว เหล้า อาหารก็ซื้อเลี้ยงเอง ทำไมไม่เข้าข้าง"
พร้อมกันนั้น ทางพระได้โทรวีดีโอคอลหาอดีตภรรยา ซึ่งเป็นชาว จ.สงขลา ซึ่งเลิกรากันไปนานเป็น 10 ปีแล้ว เพื่อให้ยืนยันว่าตนเองไม่เคยดื่มเหล้า แต่เมื่อ อดีตภรรยายืนยันว่า อดีตสามีชอบดื่มเหล้า ตนเองเลิกกันมานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่เมื่อวานนี้ ( 20 พ.ย.2567)เขาติดต่อขอไปเยี่ยมลูก ตนเองก็อนุญาต และทราบว่ายังดื่มเหล้าแบบนี้ ก็ขอให้ตำรวจจับสึก ไม่เช่นนั้นจะทำให้เสื่อมเสียวงการพระสงฆ์ ตนเองไม่เข้าข้าง ไม่เห็นด้วย ถ้าขี้เมาก็ไม่ควรบวชเป็นพระ จะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย
สอบถามไปมาจับใจความได้ว่า พระรูปนี้บวชที่ จ.สุราษฎร์ธานี จะไปเยี่ยมลูกที่ จ.สงขลา และไปไหนมาไหนกับเพื่อนซี้คนนี้เป็นประจำ เมาด้วยกัน ค่ำไหนนอนนั่น ตอนเช้าก็ไปบิณฑบาตร นำอาหารมากินกันเลี้ยงเพื่อนด้วย ท้ายที่สุดทางตำรวจได้นำตัวไปพบ พระมหาสุวรรณ วิชชาธโร เจ้าอาวาสวัดนิโครธาราม เจ้าคณะอำเภอเมืองตรัง เพื่อให้ทำพิธีลาสิกขาให้ แต่เจ้าตัวไม่ยอม โต้เถียงตลอดเวลา ยืนกรานไม่ยอมสึก สุดท้ายต้องหิ้วปีกเข้าไปทำพิธีลาสิกขา เมื่อจับถอดผ้าเหลืองได้สำเร็จ ก็หน้าถอดสี ยืนให้พระ และทางตำรวจอบรมสั่งสอนไปหลายคำ และบอกว่า ถ้ายังดื่มเหล้าอย่ากลับมาบวชอีก จะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย ทั้งนี้ กว่าจะทำการสึกพระรูปดังกล่าวได้สำเร็จ ใช้เวลากว่า 2 ชม.ครึ่ง
ด้าน ร.ต.อ.สัญญา ไพศาล รองสารวัตรป้องกันและปราบปราม บอกว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีพระ และฆราวาส เมาแล้วอาละวาด ไปด่าทอชาวบ้านกลิ่นสุราเหม็นหึ่ง ใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงก็พบเห็นทั้งคู่เมาอาละวาด จึงเชิญมาโรงพัก เจ้าตัวก็ไม่ยอม จึงต้องบังคับจับใส่กุญแจมือควบคุมตัวมาโรงพัก ระหว่างนั้น ก็ด่าทอชาวบ้านไปทั่ว บอกว่า ตัวเองเป็นพระกินเหล้าแล้วผิดตรงไหน จึงต้องใส่กุญแจมือ ก่อนจะพาไปหาพระฝ่ายปกครอง เพื่อให้ทำการสึก แต่ไม่ยอมไป
และเท่าที่จับใจความได้ ทราบว่า บวชที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้นพากันไปเยี่ยมลูกที่ จ.สงขลา และเดินทางมาที่ จ.ตรัง แบบว่าค่ำไหนนอนนั่น กินเหล้าเมายา ตอนเช้าก็บิณฑบาตเอาอาหารมากินกัน วนเวียนอยู่แบบนี้