วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณหน้า สภ.ภูธรวังจันทร์ จ.ระยอง พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังพาลุงพิการ ลงจากรถกู้ภัยเพชรเกษมระยอง ขึ้นนั่งวีลแชร์เดินขึ้นโรงพัก จึงสอบถาม ทราบชื่อคือ นายนิพล ทันใจ อายุ 65 ปี บอกว่าจะมาขอแจ้งความ เอาผิดกับลูกสาวกับลูกเขยตัวแสบ ทั้ง 2 คน ที่กดเงินหมื่นที่รัฐเพิ่งโอนให้ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ไปใช้และเงียบหายไป ไม่เอาเงินมาคืน
โดยปกติจะเป็นคนให้ลูกสาวไปกดมาให้ เพราะตนเองพิการ ตอนนี้ได้แต่เงินคนพิการ 800 บาท และเงินผู้สูงอายุ 600 บาท จ่ายค่าบ้านเดือน 800 บาท ที่เหลือก็ใช้กินแทบไม่พอ
นายนิพล เล่าว่า ตนพิการขา วันนี้อาศัยรถของกู้ภัยฯ ให้ช่วยมาส่งที่โรงพัก เพื่อจะขอแจ้งความเอาผิดกับ นางสาวกมลทิพย์ อายุประมาณ 30 ปี ลูกสาว และลูกเขย ที่ได้เอาเงิน 10,000 บาท ที่รัฐเพิ่งโอนเข้าให้ไป รวมถึงรถจักรยานยนต์ 1 คัน ตอนนี้ตนไม่มีรถใช้ซื้อข้าวกิน ต้องกินข้าวกับน้ำเปล่า
และหลังจากที่ตนบ่นไป ต่อมา ลูกสาวได้เอาเงินมาคืนแค่ 2,000 บาท และก็เงียบหาย ตนอยากได้เงินคืน วันนี้จึงมาขอแจ้งความดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการลงบันทึกประจำวันไว้ หลังจากนี้จะช่วยเหลือเบื้องต้น โดยจะนำอาหารไปมอบให้ลุงก่อน และจะให้สายตรวจ ติดต่อประสานลูกสาวและลูกเขย มาชี้แจงเรื่องดังกล่าวก่อน เพื่อฟังข้อเท็จจริง และให้ไกล่เกลี่ยใช้เงินที่เหลือคืนต่อไป
ต่อมา เวลา 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.วังจันทร์ ได้เข้าไปที่บ้านลูกสาว ต.พลงตาเอี่ยม อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ใกล้กับบ้านของนายนิพล และได้เจรจาไกล่เกลี่ยให้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่สายตรวจให้ข้อมูลว่า ทางลูกสาวไม่ได้หนี และเคลียร์เรื่องเงินกับพ่อไปนานแล้วว่าไม่ได้หนีหาย แต่พ่อชอบน้อยใจ จึงคิดมากว่าตนจะไม่ใช้เงินคืน ส่วนรถจักรยานยนต์ ที่ทางลูกสาวได้เอาไปนั้น เนื่องจากรถมันเก่าและพังแล้ว จึงเอาไปซ่อมให้ แต่ที่ไม่คืนให้พ่อ เพราะไม่อยากให้พ่อขี่รถแล้ว กลัวว่าจะเกิดอันตราย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ ได้ส่งนายนิพล ถึงบ้านอย่างปลอดภัย