11 กันยายน 2567 ทนายตั้ม ษิทธา เบี้ยบังเกิด ได้แถลงข่าวพร้อมกับ นายเคน (นามสมมมุติ) นักธุรกิจ และแม่ชาวจีน หลังถูกภรรยาและลูกสะใภ้ สาวไทยหลอกให้หย่าร้าง
อ้างว่าจะไปสมัคร สส.การแต่งงานกับคนต่างชาติทำให้ขาดคุณสมบัติ ภายหลังการหย่าร้าง ภรรยาได้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านไป พร้อมข่มขู่ให้กลับไปประเทศจีน กับไล่ให้นายเคนและแม่กลับไปที่ประเทศจีน
โดย ทนายษิทรา กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว นายเคนได้มีโอกาสรู้จักกับอดีตภรรยา และได้แต่งงานกัน มีการจดทะเบียนสมรส 3 ปี จนกระทั้งเมื่อปี 65 อดีตภรรยาท้อง และคลอดลูกชาย1คน โดยทั้งนายเคน ภรรยายา ลูกชาย และแม่ของนายเคน อาศัยอยู่ที่บ้านในประเทศไทยมาโดยตลอด และมีการทำธุรกิจด้วยกันที่ประเทศไทย
กระทั่งเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา นายเคนกลับไปประเทศจีน อดีตภรรยาก็เริ่มขนทรัพย์สมบัติ ซึ่งหามาร่วมกันออกบ้าน และหลังจากนั้นอดีตภรรยาก็ไม่ค่อยมานอนที่บ้าน และมีปากเสียงกัน ต่อมาเมื่อเดือน กรกฎาคม ภรรยาอ้างว่าจะลงเล่นการเมือง สมัครเป็น สส.แต่ขาดคุณสมบัติ ว่าด้วยการสมรสกับชาวต่างชาติจึงขอให้นายเคนหย่า นายเคนก็หย่าให้
ภายหลังการหย่า นายเคน และอดีตภรรยายังไปกินข้าว และอยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา แต่อดีตภรรยา ก็ยังขนของออกจากบ้านเรื่อยๆ พอไถ่ถามก็มักจะมีปากเสียงกัน บางครั้งหนักถึงกับไล่ให้นายเคน และแม่กลับประเทศจีนไป
ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน คือหนักสุด ภรรยาได้ขับรถเข้ามาในบ้านและขนของขึ้นรถ หลังจากนั้นก็มีรถอีกคัน เข้ามาที่บ้าน มีผู้ชายมาด้วย ซึ่งทรัพย์สินที่อดีตภรรยาต้องการนำออกไปในวันนั้นคือเหล้าราคาแพงและนาฬิกาAP นายเคน จึงเข้าไปพูดคุย และไม่ยอมให้อดีตภรรยาเอาทรัพย์สินไป
แต่กลับถูกผู้ชายที่มาด้วยชี้หน้าและพูดเป็นภาษาไทยคาดว่าน่าจะเป็นคำด่า ซึ่งก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะขับรถออกไปก็ได้มีการ ขับรถกระแทกเข้ามาที่บริเวณขาของนายเคนจนได้รับบาดเจ็บ
ทางด้าน นายเคน (นามสมมมุติ) นักธุรกิจชาวจีน เผยว่า ตนเองไม่เคยทุบตีหรือทำร้ายร่างกายภรรยาเลย จะมีเพียงแค่เรื่องทะเลาะกัน ตามประสาสามี ภรรยาทั่วไป ส่วนเรื่องที่ยอมหย่าเพื่อให้ภรรยาไปลงสมัคร ส.ส.นั้น เป็นความประสงค์ของภรรยาเองและตนก็มองว่ามันอาจจะดีกับครอบครัว
จึงยอมที่จะเซ็นใบหย่าให้ ส่วนเรื่องทรัพย์สินนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนหรือหลังการแต่งงานแต่เราแต่งงาน เป็นสามีภรรยา กันแล้ว ตนก็มองว่าเป็นของร่วมกัน ซึ่งทรัพย์สินที่เป็น อสังหาริมทรัพย์ ก็มีบ้านจำนวน 3 หลังและคอนโดใจกลางสุขุมวิท 1 ห้อง
ทั้งหมดเป็นชื่อของภรรยาเนื่องจากตนเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในชื่อของตนเองได้ และก่อนหน้านี้ภรรยา ยังทยอยเอาเงินสดที่อยู่ภายในเซฟออกไปจนหมดซึ่งมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท รวมมูลค่าทรัพย์สินและเงินสดต่างๆ คาดว่าน่าจะ มีมูลค่าถึง 100 ล้านบาท โดยภายหลังจากที่ภรรยาได้ออกจากบ้านไปตนก็พยายามติดต่อไปหลายครั้งแต่ภรรยาพูดแต่ว่าให้เอาทนายความมาคุยกัน
ในขณะที่ แม่ของนายเคน เปิดเผยว่า ตนเองนั้นมีลูกชายเพียงคนเดียวไม่มีลูกสาว เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาก็รักเหมือนลูกสาวตัวเอง แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็รู้สึกเสียใจเนื่องจากครอบครัวตนที่เมืองจีนมีธุรกิจเกี่ยวกับโรงพยาบาล และตระกูลก็มีหน้ามีตาในสังคมระดับหนึ่ง ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ไม่เคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม โดนไล่ออกจากบ้านในลักษณะนี้
ส่วนหลานชายซึ่งเกิดจากอดีตลูกสะใภ้ ตนเป็นคนดูแลและเลี้ยงดูมาโดยตลอด เนื่องจากหลานชายคนนี้ ตอนคลอดมีน้ำหนักค่อนข้างน้อย หลานอายุได้เพียง 1 เดือน อดีตลูกสะใภ้ก็ไปเที่ยวไต้หวันให้ตนเลี้ยงหลานชาย ซึ่งตนก็ค่อนข้างเป็นห่วงสุขภาพหลาน เนื่องจากตอนเกิดมาน้ำหนักน้อยแล้ว ยังไม่ได้กินนมแม่อย่างเต็มที่อีก
ก่อนเกิดเรื่องที่อดีตลูกสะใภ้ ออกจากบ้านไป ตนได้มีการพูดคุยแล้ว แต่กลับได้คำตอบ ว่าอดีตลูกสะใภ้ไม่ได้รักลูกชายตนเองแล้ว และในวันที่อดีตลูกสะใภ้เข้ามาที่บ้านพร้อมกับผู้ชายอีก 1 คน มาขนของออกจากบ้าน ไล่ลูกชายตนกลับประเทศจีน
อีกทั้งยังขับรถกระแทกขาลูกชาย ตนแทบจะหน้ามืดลงไปตรงนั้นเลย เพราะมีโรคประจำตัวเป็นความดันและเกี่ยวกับหัวใจด้วย ซึ่งการผู้หญิงคนนี้ บีบคั้นตัวละลูกไม่ให้มีทางเดิน ซึ่งการต่อสู้ในครั้งนี้ตนขอออกมาสู้อย่างสุดความสามารถก็เพื่อหลานชายวัย 2 ขวบ
อดีตลูกสะใภ้อาจจะมีการไปเริ่มต้นใหม่ อาจจะมีลูกใหม่แล้วหลานชายของตนอนาคตจะเป็นอย่างไร ลำพังแค่ลูกชาย ตนสามารถดูแลได้อยู่แล้วแต่หลานชายมีสัญชาติไทย การดูแลความเป็นอยู่ก็จะอยู่ที่เมืองไทยตนจึงต้องออกมาสู้ และขอขอบคุณเพื่อนๆคนไทย และทนายความที่ใจดี และเข้ามาช่วยเหลือ เพราะตนไม่รู้จักใครเลย