ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเดินทางถึงกรุงฮานอยของเวียดนามในวันจันทร์ (14 เมษายน) โดยมีประธานาธิบดีเลือง เกื่อง ของเวียดนามให้การต้อนรับที่สนามบิน และมีกำหนดการเยือน 2 วัน หลังจากนั้นเขาจะเยือนมาเลเซียและกัมพูชาในช่วงวันอังคารถึงวันศุกร์ ซึ่งทั้งสามประเทศมีความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับจีนมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีนี้
แม้การเยือนครั้งนี้กำหนดไว้นานแล้ว แต่มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ระงับการเก็บภาษีตอบโต้กับประเทศส่วนใหญ่นาน 90 วัน เพื่อมุ่งเน้นการทำสงครามกับจีนโดยเฉพาะ เดิมรัฐบาลทรัมป์กำหนดเก็บภาษีตอบโต้กับเวียดนาม 46%, กัมพูชา 49% และมาเลเซีย 24%
และผู้นำจีนจะใช้โอกาสนี้มุ่งชูภาพลักษณ์ในฐานะหุ้นส่วนการค้าที่น่าเชื่อถือ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่กลับไปกลับมาตลอด
แม้ชาติอาเซียนโล่งอกกับการระงับภาษีของทรัมป์ แต่กังวลยิ่งขึ้นกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ขึ้นภาษีตอบโต้กันอย่างดุเดือด โดยวิตกว่า สินค้าราคาถูกจากจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ อาจไหลทะลักเข้าสู่ภูมิภาคนี้ และชาติอาเซียนต้องวางตัวด้วยความระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมองว่า เลือกอยู่ข้างเดียวกับจีน ซึ่งเสี่ยงเป็นการยั่วยุทรัมป์ ในช่วงที่กำลังพยายามเจรจากับทรัมป์เกี่ยวกับภาษีตอบโต้
ขณะที่ประธานาธิบดีสี เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ Nhan Dan ของเวียดนามฉบับวันจันทร์ ก่อนการเดินทางเยือนเวียดนามด้วยว่า ในสงครามการค้าและสงครามภาษีศุลกากรจะไม่มีผู้ชนt และการปกป้องการค้าจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหา พร้อมกับย้ำความจำเป็นที่จีนและเวียดนามต้องร่วมมือกันปกป้องระบบการค้าพหุภาคี, รักษาเสถียรภาพของการผลิตและซัพพลายเชนของโลก และสร้างบรรยากาศความร่วมมือและการเปิดกว้างในเวทีระหว่างประเทศ
เวียดนามเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่เติบโตขึ้นอย่างมาก และมีการลงทุนจากจีนเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีนี้ โดยผู้ผลิตย้ายซัพพลายเชนออกจากจีนไปเวียดนามเนื่องจากค่าจ้างแรงงานถูกกว่าและเพื่อเลี่ยงภาษีของสหรัฐฯ
มูลค่าการค้าของจีนกับเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วงปี 2560-2567 ทำให้เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเวียดนามเป็นผู้ซื้อสินค้าจีนรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยมียอดนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นกว่า 30% เป็น 144,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2567
รัฐบาลเวียดนาม คาดหวังว่า ในระหว่างการเยือนของผู้นำจีนจะมีการลงนามข้อตกลงเกือบ 40 ฉบับครอบคลุมความร่วมมือหลากหลายด้าน ทั้ง การสร้างทางรถไฟ, กาค้าขายสินค้าเกษตร และเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว