นักลงทุนแห่ซื้อทองคำ ซึ่งยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยต่อการลงทุนตลอดกาล ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,004.86 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนลดลงเป็น 2,991.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อเวลา 9.42 น. ของวันศุกร์ (14 มีนาคม) ตามเวลาสหรัฐฯ
และราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 14% แล้วในปีนี้ โดยมีปัจจัยจากความกังวลของนักลงทุนต่อผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อหลายประเทศจนนำไปสู่มาตรการตอบโต้ ที่ทำให้คาดว่าสงครามการค้าจะขยายวงกว้าง บวกกับการแห่เทขายหุ้นจนตลาดดิ่งเหวเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว
เมื่อวันพฤหัสบดีประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งขู่จะปรับขึ้นภาษีนำเข้าไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ ที่นำเข้าจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) เป็น 200% หลังอียูประกาศจะขึ้นภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง เบอร์เบิน เพื่อตอบโต้ที่ทรัมป์เริ่มบังคับใช้ภาษี 25% กับเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า
นโยบายการค้าของทรัมป์ที่ไม่คงเส้นคงวาจากการขู่ขึ้นภาษี แต่กลับลำและล่าช้าหลายครั้ง สร้างความไม่แน่นอนทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก เพราะไม่มั่นใจว่าจะลงทุนหรือจ้างงานหรือไม่ บวกกับตลาดมีความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยจากผลกระทบของสงครามการค้า
นอกจากนี้อีกความกังวล คือ สถานการณ์สงครามในยูเครน ที่ล่าสุดรัสเซียยังไม่เห็นด้วยกับแผนหยุดยิง 30 วันที่เสนอโดยสหรัฐฯ และตั้งเงื่อนไขหลายข้อ แม้บอกว่าสนับสนุนในหลักการ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำสูงขึ้นเกือบ 60% นับจากรัสเซียบุกยูเครนในปี 2565