โบอิ้งเผยในวันอังคาร (28 มกราคม) ว่า มียอดขาดทุนในไตรมาส 4 ที่สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 3,860 ล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดขาดทุนประจำปี 2567 สูงถึง 11,830 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลประกอบการที่เลวร้ายที่สุดนับจากปี 2563 ในช่วงอุตสาหกรรมการบินได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และเป็นยอดขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6
ยอดขาดทุนสะท้อนความท้าทายอย่างหนักแก่เคลลี ออร์ตเบิร์ก ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งซีอีโอเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ในการพลิกฟื้นธุรกิจ ที่ยังไม่หลุดพ้นจากหายนะนับจากเครื่องบินโดยสารรุ่น 737 Max8 ประสบเหตุตกในปี 2561 และ 2562 ที่คร่าชีวิต 346 ราย และโบอิ้งขาดทุนรวมกว่า 35,000 ล้านดอลลาร์แล้วนับจากอุบัติเหตุทั้งสองครั้งนั้น
ในปี 2567 โบอิ้งเผชิญอุบัติเหตุตั้งแต่เดือนมกราคม เมื่อผนังประตูเครื่องบินหลุดออกจากเครื่องบิน 737 Max รุ่นใหม่ เพียงไม่นานหลังทะยานขึ้นจากสนามบิน ทำให้เกิดรอยโหว่ที่ด้านข้างลำตัวเครื่องบิน ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความบกพร่องของควบคุมคุณภาพการผลิต เหตุการณ์นี้ทำให้โบอิ้งต้องลดการผลิต และหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการบิน เรียกร้องให้ปรับปรุงโรงงาน และดำเนินการตามแผนควบคุมความปลอดภัยและคุณภาพอย่างครอบคลุม
และในเดือนสิงหาคม เมื่อออร์ตเบิร์ก วิศวกรผู้ช่ำชอง เข้าคุมบังเหียนในฐานะซีอีโอ ก็เผชิญปัญหาท้าทาย จากการนัดหยุดงานประท้วงของพนักงาน 33,000 คน ทำให้โรงงานสำคัญที่สุด 2 แห่งต้องหยุดชะงัก และการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 Max , รุ่น 777 และเครื่องบินบรรทุกสินค้ารุ่น 767 ต้องหยุดชะงักด้วย
การสไตรก์ของพนักงานนาน 6 สัปดาห์ ที่เริ่มขึ้นในเดือนกันยายน สะท้อนความไม่พอใจของพนักงานเรื่องค่าจ้างและเงินบำนาญ และแม้ปัญหายุติในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน แต่ทำให้บริษัทสูญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ และในปีที่แล้วโบอิ้งส่งมอบเครื่องบินพาณิชย์ได้เพียง 348 ลำ เมื่อเทียบกับแอร์บัส คู่แข่งที่ส่งมอบได้ถึง 766 ลำ