ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า เขาลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร 4 ฉบับที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในกองทัพ โดยเซ็นคำสั่งขณะนั่งเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันจากรัฐฟลอริดากลับไปยังกรุงวอชิงตัน
หนึ่งในคำสั่งดังกล่าวรวมถึงยกเลิกโครงการเกี่ยวกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความครอบคลุม หรือ DEI ในกองทัพ และสั่งให้กระทรวงกลาโหมร่างนโยบายและมาตรฐานใหม่เกี่ยวกับคนข้ามเพศในกองทัพ ซึ่งรวมถึงห้ามใช้สรรพนามแสดงอัตลักษณ์ทางเพศ และกำหนดว่า ทหารที่ข้ามเพศ หรือ รับการบำบัดเพื่อข้ามเพศ จะไม่สามารถรับใช้กองทัพเพราะขาดความพร้อมทางจิตใจและร่างกาย โดยยังไม่ได้แบนทหารข้ามเพศโดยทันที และอีกฉบับสั่งคืนตำแหน่งให้ทหารกว่า 8,000 นาย ที่ถูกปลดเพราะไม่รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ลงนามคำสั่งห้ามคนข้ามเพศเข้าเป็นทหารในกองทัพในปี 2560 ในช่วงที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่ต่อมาประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามในคำสั่งในปี 2564 ให้ยกเลิกคำสั่งของทรัมป์
และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังทรัมป์สาบานตนรับตำแหน่งสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคม เขาก็ลงนามคำสั่งยกเลิกคำสั่งของไบเดน ที่อนุญาตให้คนข้ามเพศเข้ารับใช้กองทัพ
ข้อมูลจาก Palm Center ที่เป็นสถาบันวิจัยอิสระ ระบุว่า ในปี 2561 คาดว่า มีคนข้ามเพศ 14,000 คน เป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ
นอกจากคำสั่งที่เกี่ยวกับทหารแล้ว ทรัมป์ยังเซ็นคำสั่งให้เริ่มสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศคล้ายกับ “ไอเอิร์นโดม” ของอิสราเอล ที่เป็นระบบขีปนาวุธพิสัยใกล้
ทรัมป์เคยย้ำเสมอในช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่า เขาอยากพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เหนือกว่าไอเอิร์นโดม ของอิสราเอล แต่ผู้เชี่ยวชาญทางทหารตั้งคำถามว่า ระบบดังกล่าวจำเป็นหรือเหมาะสมกับสหรัฐฯ หรือไม่ เพราะไอเอิร์นโดม ของอิสราเอล ใช้สกัดกั้นจรวดและปืนครก ที่มีอานุภาพค่อนข้างต่ำเท่านั้น และอิสราเอลก็มีขนาดเล็กพอ ๆ กับรัฐนิวเจอร์ซี หนึ่งในรัฐที่เล็กที่สุดของสหรัฐฯ เท่านั้น นอกจากนี้สหรัฐฯ ก็มีระบบทาด (THAAD) อยู่แล้ว
การเปิดเผยคำสั่งใหม่ของทรัมป์มีขึ้นในวันเดียวกับที่พีท เฮ็กเซธ รัฐมนตรีกลาโหมเข้าทำงานในกระทรวงกลาโหมเป็นวันแรก เขาเป็นอดีตทหารผ่านศึกและอดีตพิธีกรของฟ็อกซ์ นิวส์ และให้คำมั่นว่า จะยกเครื่องความเป็นผู้นำทางทหารครั้งใหญ่และฟื้นคืนวัฒนธรรมนักรบในกองทัพ