ตำรวจและชุดสอบสวนของสำนักงานสอบสวนคดีทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือ ซีไอโอ สามารถจับตัวประธานาธิบดียุน ซอก ยอล ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในย่านฮันนัม-ทง ทางตอนกลางของกรุงโซลเมื่อเวลา 10.33 น. ของวันพุธ (14 มกราคม) ตามเวลาท้องถิ่น และถูกนำตัวไปยังสำนักงานของซีไอโอ ที่ย่านกวาชอน ทางตอนใต้ของกรุงโซล การสอบปากคำเริ่มในเวลา 11.00 น. โดยมีทีมกฎหมายของนายยุนอยู่ด้วย และหลังสอบปากคำเสร็จ เขาจะถูกนำไปควบคุมตัวที่ศูนย์กักตัวกรุงโซลที่อึยวัง ใกล้สำนักงานของซีไอโอ
ชุดสอบสวนยืนยันจะสอบสวนอย่างละเอียดเกี่ยวกับการประกาศกฎอัยการศึกของนายยุนเมื่อต้นเดือนธันวาคม ที่สร้างความวุ่นวายทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเตรียมคำถามไว้มากกว่า 200 หน้า ที่มุ่งประเด็นตั้งแต่การวางแผนเตรียมการประกาศกฎอัยการศึกจนถึงการบังคับใช้ เขาถูกกล่าวหาว่า สั่งล็อกดาวน์รัฐสภาไม่ให้สมาชิกสภาพรรคฝ่ายค้านเข้าประชุม สั่งให้ทหารและตำรวจลากตัวสมาชิกรัฐสภาออกจากอาคาร รวมถึงสั่งให้ยิงได้หากจำเป็น
การจับกุมนายยุนวันนี้เป็นการปฏิบัติตามหมายควบคุมตัวที่ออกโดยศาลกรุงโซล และชุดสอบสวนมีเวลา 48 วัน เพื่อยื่นขอหมายจับอย่างเป็นทางการ ที่จะทำให้สามารถคุมตัวได้นานถึง 20 วัน
การจับกุมครั้งนี้เป็นความพยายามครั้งที่ 2 หลังจากปฏิบัติการครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มกราคมประสบความล้มเหลว เพราะถูกขัดขวางจากหน่วยอารักขาประธานาธิบดี และหมายควบคุมตัวหมดอายุในวันที่ 6 มกราคมก่อนได้รับการขยายเวลาจนถึงวันที่ 21 มกราคม ซีไอโอยื่นขอหมายศาล หลังจากนายยุนไม่ยอมไปให้ปากคำตามหมายเรียก 3 ครั้ง
ส่วนปฏิบัติการล่าสุดชุดสอบสวนพร้อมด้วยกำลังตำรวจราว 3,000 นาย ไปถึงทำเนียบประธานาธิบดีเมื่อเวลา 4.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น และเผชิญหน้ากับหน่วยอารักขาประธานาธิบดีเกือบ 2 ชม.ครึ่ง กว่าจะฝ่าด่านเครื่องกีดขวางที่มีทั้งรั้วลวดหนาม รถบัสและเจ้าหน้าที่เข้าไปถึงด้านใน และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบและทนายความของนายยุนอนุญาตให้เข้าควบคุมตัวประธานาธิบดี ขณะทีด้านนอกมีฝูงชนผู้สนับสนุนประธานาธิบดีราว 6,500 คน รวมตัวชุมนุมเพื่อคัดค้านการจับกุม
ผู้นำวัย 64 ปี โพสต์คลิปวิดีโอยาว 3 นาที ที่บันทึกก่อนถูกนำตัวไปที่ซีไอโอ โดยบอกว่า เขาจะยอมไปให้ปากคำที่ซีไอโอเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด แม้เขาไม่เห็นด้วยก็ตาม โดยยืนยันว่า ซีไอโอไม่มีอำนาจสอบสวนเขา และหมายควบคุมตัวไม่มีผลทางกฎหมาย รวมทั้งบอกด้วยว่า หลักนิติธรรมของประเทศล่มสลายอย่างสิ้นเชิง
นายยุนถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ หลังรัฐสภามีมติถอดถอนออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2566 ด้วยข้อหาก่อกบฏและใช้อำนาจในทางมิชอบ จากการประกาศกฎอัยการศึกในคืนวันที่ 3 ธันวาคม ก่อนยกเลิกในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น โดยเขาถูกกล่าวหาว่าส่งทหารเข้าควบคุมพื้นที่ในรัฐสภา หลังประกาศกฎอัยการศึก เพื่อหวังยับยั้งไม่ให้สมาชิกสภาเข้าประชุมเพื่อลงมติคว่ำประกาศกฎอัยการศึก แต่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหา
นายยุนเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกจับกุมขณะยังดำรงตำแหน่ง และข้อหาก่อกบฏเป็นหนึ่งในคดีที่ไม่มีเอกสิทธิคุ้มครองสำหรับประธานาธิบดี ซึ่งหมายความว่าเขาอาจต้องโทษจำคุก หรือเลวร้ายสุดอาจถึงขั้นประหารชีวิต ส่วนอนาคตทางการเมืองของเขายังต้องรอคำตัดสินจากศาลรัฐธรรมนูญว่า เขามีความผิดและสมควรพ้นจากตำแหน่งตามมติถอดถอนของรัฐสภาหรือไม่
ที่ผ่านมาประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง 4 คนของเกาหลีใต้เคยรับโทษจำคุก ซึ่ง 2 คน ถูกลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยคนหนึ่งถูกตัดสินมีความผิดและต้องพ้นจากตำแหน่ง และคนหนึ่งกระโดดหน้าผาเสียชีวิต หลังจากผู้ช่วยใกล้ชิด รวมไปถึงภรรยาและลูกถูกสอบสวนคดีรับสินบนและคดีทุจริต และนับตั้งแต่เกาหลีใต้ก่อตั้งประเทศ มีประธานาธิบดีอีกเพียง 2 คน ที่ต้องโทษประหารชีวิต แต่ได้รับอภัยโทษในเวลาต่อมา